สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ย้อนตำนานเจ้าพ่อกระทิงแดง เฉลียว อยู่วิทยา มหาเศรษฐีหัวใจคุณธรรม

ย้อนตำนานเจ้าพ่อกระทิงแดง 'เฉลียว อยู่วิทยา' มหาเศรษฐีหัวใจคุณธรรม

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ภาพ ของชายสูงวัยในเสื้อตัวเก่ากับกางเกงแพร ใส่หมวกงอบ ขี่จักรยานไปรอบๆโรงงานกระทิงแดง ในทุกเช้า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีของมีค่าใดๆ นอกจากนาฬิการาโด้เก่าๆ เพียงเรือนเดียว เมื่อเห็นขวดกระทิงแดงที่พนักงานกินทิ้งไว้เขาก็จะก้มลงเก็บแล้วนำไปทิ้งขยะ ..... หากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าเขาคนนี้คือ 'เฉลียว อยู่วิทยา' มหาเศรษฐีแสนล้าน หนึ่งในสามนักธุรกิจที่รวยที่สุดในประเทศไทย และถูกจัดให้เป็นเศรษฐีอันดับที่ 205 ของโลก ที่สำคัญเขายังเป็นเจ้าของธุรกิจกระทิงแดงและเรดบูลที่ส่งขายไปกว่า 70 ประเทศ และเจ้าของตำนานการสร้างธุรกิจซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาที่ถูกนำไปสอนใน มหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก !!
       
       และนับแต่นี้เรื่องราวของเขาคงกลายเป็นตำนานที่เล่าขานถึงความยิ่งใหญ่ของนักธุรกิจเจ้าของฉายา 'มังกรซ่อนเล็บ' อดีตเด็กหนุ่มยากจนในสังคมชนบทที่มุ่งสู่เมืองกรุงพร้อมความฝันว่าสักวันจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
       
       ช่วงเช้าของวันที่ 17มีนาคม2555 ได้ปรากฏข่าว 'ช็อกวงการ' กับการจากไปของ เจ้าพ่อกระทิงแดง 'เฉลียว อยู่วิทยา' รายงานแจ้งว่าเขาจากไปอย่างสงบด้วยโรคชรา ในวัย 89 ปี ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งการจากไปของเขานั้นนอกจากจะสร้างความเศร้าโศกให้แก่ลูกหลานและพนักงานใน เครือกระทิงแดงทุกคนแล้ว ยังนับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของแวดวงธุรกิจไทยอีกด้วย
       
       **จากเด็กเลี้ยงเป็ด สู่ธุรกิจขายยา
       
       เจ้าสัวเฉลียว หรือที่เรียกกันในครอบครัวและคนสนิทว่า 'โกเหลียว' เกิดในครอบครัวคนจีน ที่จังหวัดราชบุรี ก่อนอพยพไปอยู่ที่ตำบลหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวจีนไหหลำ ชื่อนายเซ่ง แซ่สี่ อพยพมาจากเมืองจีน ส่วนมารดาชื่อ นางทองอยู่ แซ่สี่ เป็นคนไทย เขามีพี่น้องทั้งหมด 5 คน
       
       แม้จะเกิดในครอบครัวยากจนแต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังเรื่องของความซื่อ สัตย์ ขยัน อดทนจึงเป็นคนมุมานะหนักเอาเบาสู้มาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเด็กเรียนดีทั้งที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือมากนักเนื่องจากหลังเลิก เรียนเฉลียวต้องไปเลี้ยงเป็ดและช่วยที่บ้านค้าขาย ด้วยความยากจน ในช่วงที่ไปเรียนชั้นมัธยมในตัวจังหวัดจึงต้องไปอาศัยอยู่กับคุณหมอท่าน หนึ่งโดยช่วยทำงานบ้านเป็นการตอบแทน แต่เรียนได้แค่มัธยม 5 (เทียบเท่ากับ ม.2 ในปัจจุบัน) ก็ต้องลาออกกลางคันเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสีย
       
       เฉลียวเริ่มทำการค้าเล็กๆน้อยๆตั้งแต่อายุแค่ 10 กว่าปี และเนื่องจากขณะนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เฉลียวจึงไปรับจ้างทำงานให้กับญี่ปุ่นด้วย แม้จะล้มลุกคลุกคลานการค้าเจ๊งไม่เป็นท่าหลายครั้งหลายหน แต่เฉลียวก็ไม่เคยย่อท้อ ตรงกันข้ามความล้มเหลวที่ผ่านมากลับทำให้เขาได้ข้อคิดและปรัชญาในการทำ ธุรกิจว่า “ ไม่ควรทำอะไรที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ”
       
       “ ผมทำมาหลายอาชีพ ขายขนุน ขายทุเรียน ขายเนื้อเค็ม ไม่รู้เรื่องก็เจ๊งหมด เห็นขนุนในกรุงเทพฯ ราคาแพง ลูกละหลายบาท ที่พิจิตรบ้านเราลูกละสลึงเดียวก็อยากซื้อมาขายเอากำไร ไปถึงสวนเลย ถ้าคิดลูกละสลึงเขาไม่ขึ้นให้ ต้องขึ้นไปตัดเอง ผมไม่รู้ว่าลูกไหนอ่อนลูกไหนแก่ ขนุนละมุด หรือขนุนหนังก็ไม่รู้ เห็นลูกโตๆตัดหมด ขนมาเต็มตู้รถไฟ กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ขนุนละมุดเละหมด ขนุนหนังที่ตัดมาส่วนใหญ่ก็ยังไม่แก่ จะเอาเม็ดมาต้มขายก็ไม่อร่อย เลยขาดทุนหมด สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปรับจ้างโยงเรือให้ญี่ปุ่น ไม่มีความรู้ก็เจ๊งอีก ” เฉลียวให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร 'THE EXECUTIVE' เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ถึงประสบการณ์ในการทำการค้าในช่วงวัยรุ่น
       
       ใครจะรู้ว่าวันที่เฉลียวตัดสินใจทิ้งการค้าผลไม้ตามพี่ชายเข้า กรุงเทพฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นของเจ้าสัวแสนล้านในวันนี้ โดยช่วงแรกที่มาถึงกรุงเทพฯ เฉลียวเริ่มจากช่วยพี่ชายทำงานที่ร้านขายยา เมื่อมีความรู้ความชำนาญเรื่องการขายยาจึงเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วยการไปสมัคร เป็นเซลขายยา ที่บริษัท แลดเดอร์เลย์ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายยาออริโอมัยซินที่นำเข้าจากต่างประเทศ จากนั้นก็ย้ายไปเป็นเซลขายยาของบริษัท เอฟ อี ซี ริค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาออริโอมัยซินโดยตรง เฉลียวเป็นเซลอยู่ 7 ปี จึงออกมาตั้งบริษัทนำเข้ายาของตัวเอง ภายใต้ชื่อ 'ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทีซี ฟาร์มาซูติคอล' ซึ่ง ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เขาจึงขยายกิจการด้วยการเปิดร้านขายยาและตั้งโรงงานผลิตยาเอง ที่บริเวณถนนสิบสามห้าง ย่านบางลำพู ก่อนที่จะขยายโรงงานผลิตยาไปที่ตรอกเสถียร แถวถนนราชดำเนิน
       
       **นักการตลาดชั้นเซียน
       
       ในปี 2504 เมื่อเฉลียวมองเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจจากการวิเคราะห์ตลาดที่ทำให้เขา มั่นใจว่ายาปฏิชีวนะยี่ห้อ 'ทีซีมัยซิน' น่าจะเป็นยาที่ชื่อติดหูและขายดีที่สุด เนื่องจากเป็นยาครอบจักรวาลที่ทุกบ้านขาดไม่ได้ เพราะมีสรรพคุณทั้งแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ เฉลียวจึงไม่รอช้าตัดสินใจตั้ง 'บริษัท ทีซีมัยซิน จำกัด' เพื่อผลิตยาดังกล่าวทันที และไม่เกินไปที่จะกล่าวว่าเจ้าสัวเฉลียวเป็น 'นักการตลาดชั้นครู' โดยไม่เคยกางตำราหรือร่ำเรียนจากสถาบันใดๆ เพราะเขาคือนักธุรกิจคนแรกๆของไทยที่ใช้วิธี 'แจกสินค้าให้ทดลองใช้' ก่อนที่จะมีบริษัทเอเจนซีที่คิดค้นกลยุทธ์การตลาดขึ้นในประเทศไทยหลายสิบปี นัก และนับเป็นกลยุทธ์ที่แม้แต่บริษัทโอสถสภาซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจยาในขณะ นั้นยังไม่กล้าใช้และไม่เคยทำมาก่อน !! เนื่องจากเฉลียววิเคราะห์ตลาดได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าการจะทำให้ผู้บริโภค มั่นใจในผลิตภัณฑ์ยาตัวใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงทุ่มทุนด้วยการ 'แจก' ยา ดังกล่าวให้ใช้ฟรี ทั้งที่ตลาดนัดสนามหลวง และตามชุมชน ซึ่งถือเป็นการทำตลาดที่มีงประสิทธิภาพ เพราะเมื่อคนเห็นถึงสรรพคุณของตัวยาจึงเกิดการบอกต่อ ทำให้ 'ยาทีซีมัยซิน' เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายภายในเวลาอันรวดเร็ว
       
       งานนี้ทำเอายักษ์ใหญ่อย่างอย่างโอสถสภา ผู้ผลิต'ยาทัมใจ' ถึงกับอึ้ง !! เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมาเจอคู่แข่งรายใหม่ที่ใช้กลยุทธ์ 'ป่าล้อมเมือง' ที่สำคัญยังเป็นเพียงบริษัทยาเล็กๆที่หาญกล้ามาชนกับเจ้าตลาดอีกด้วย
       
       และกลยุทธ์นี้ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสุดคลาสสิก ที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้ …
       
       ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาตัวอื่นๆ ที่ออกมาใหม่ของทีซีมัยซินพลอยได้รับความเชื่อถือไปด้วย จากนั้นในปี 2508เจ้าสัวเฉลียวก็ขยายไลน์ไปยังธุรกิจเครื่องสำอาง โดยตั้ง 'บริษัท ทีซี-มัยซิน อุตสาหกรรม จำกัด' ซึ่งสินค้าที่รู้จักกันได้แก่ แป้งเบบี้ดอล แป้งแท็ดทู และยาสีฟันเบลเด็กซ์ แต่แล้วในปี 2513 โรงงานที่ตั้งอยู่บริเวณตรอกเสถียรก็ถูกเวนคืน จึงต้องย้ายโรงงานไปอยู่ย่านบางบอน ซึ่งก็คือโรงงานกระทิงแดงในปัจจุบันนั่นเอง แต่ในสมัยนั้นถือว่าป็นจุดที่ 'ไกลปืนเที่ยง' ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจแต่อย่างใด แต่ด้วยฝีมือของ 'โกเหลียว' แล้วไซร้คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
       
       **'กระทิงแดง' ชื่อนั้นสำคัญไฉน
       
       จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ 'โกเหลียว' ขึ้นสู่ตำแหน่งมหาเศรษฐีแสนล้านจนถึงทุกวันนี้ ก็คือวันที่โกเหลียวตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจผลิตเครื่องดื่มชูกำลัง ภายใต้ยี่ห้อ 'กระทิงแดง' โดยตั้ง 'บริษัท ทีซีฟาร์มา ซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด' ขึ้นเมื่อปี 2521 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่ชักนำให้เขาเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวก็คือเพื่อนเก่าชาวออสเตรียที่ชื่อ 'ดีทริช เมเทลชิทซ์' ตัวแทนฝ่ายการตลาดของยาสีฟันเบลนเด็กซ์ ยาสีฟันสัญชาติเยอรมันที่เฉลียวซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตนั่นเอง
       
       หลายคนอาจไม่รู้ว่าแบรนด์ 'กระทิงแดง' นั้นเป็นชื่อที่เจ้าสัวเฉลียวคิดขึ้นเอง และเดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะให้เป็นผลิตภัณฑ์ยา แต่รัฐบาลขณะนั้นกำหนดให้กระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อที่จะได้ สามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
       
       “ กระทิงแดง หมายถึง มีกำลัง กระทิงมีกำลังมาก ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผมคิดขึ้นเอง ออกแบบโลโก้เอง ส่วนสินค้าอื่นๆที่ออกตามมาที่ใช้ชื่อกระทิงแดงนั้นก็ไม่ได้ถือเคล็ดอะไร เพียงแต่เห็นว่าเป็นชื่อทางการค้าที่คนส่วนใหญ่รู้จักและจำกันได้อยู่แล้วก็ ไม่ควรไปสร้างชื่อใหม่ให้เปลืองค่าโฆษณา ไม่ต้องเสียเวลาไปสร้าง 'Brand Loyalty'อีก
       
       “เดิมทีเดียวกระทิงแดงก็เป็นยารักษาโรค กระทั่งรัฐบาลสมัยหนึ่งอยากได้ภาษีมากๆ ก็เลยปรับกระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มที่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเยอะ โดยเสีย 22 เปอร์เซ็นต์ คิดจากราคาขายปลีกขวดละ 10 บาท ก็เสียภาษี 2.20 บาท ต่อขวด ถ้าเป็นยาคิดภาษีจากราคาขายปลีกแค่ขวดละ 11 กว่าสตางค์ ” เฉลียวเคยให้ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร 'THE EXECUTIVE'
       
       แต่เรื่องที่เป็นตำนานซึ่งทั้งตื่นเต้นและคลาสสิกก็คือชื่อ 'กระทิงแดง' ซึ่งเป็นแบรนด์ของเครื่องดื่มชูกำลังขวดนี้ดันไปเหมือนกับชื่อกลุ่มการเมือง ฮาร์ดคอร์ที่ชื่อ 'กลุ่มกระทิงแดง' ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อต่อกรกับนักศึกษาในยุค 14 ตุ.ค.16 และ 6 ตุ.ค.19 ซึ่งถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิตส์ ทำให้ 'พล.ต.สุดสาย หัสดิน ' ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง 'กลุ่มกระทิงแดง' ไม่พอใจ จึงต้องนัดเคลียร์กันครั้งใหญ่ กระทั่งสุดท้ายเมื่อเจ้าสัวเฉลียวมีหลักฐานมายืนยันว่าเขาได้จดทะเบียนชื่อ นี้ไว้ก่อนที่จะมีการก่อตั้งกลุ่มกระทิงแดงถึง 5 ปี เขาจึงสามารถใช้ชื่อ 'กระทิงแดง' เป็นชื่อแบรนด์มาได้จนได้ถึงทุกวันนี้
       
       **กลยุทธ์โดนใจ
       
       การเข้ามาตีตลาดของกระทิงแดงก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเพราะว่าขณะนั้นมี 'ลิโวิตัน-ดี' ของบริษทโอสถสภา เต็กเฮงหยู จำกัด ที่มีตระกูลดังอย่างโอสถานุเคราะห์นั่งบริหาร เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 90% เรียกว่าแทบไม่เหลือที่ว่างให้แทรกเลยทีเดียว แต่นักการตลาดชั้นเซียนอย่างเจ้าสัวเฉลียวก็หาได้กลัวเกรงแต่กลับมองว่านี่ คือโอกาสดีเพราะการที่มีรายใหญ่เพียงรายเดียวแสดงว่ายังมีที่ว่างทางการตลาด เหลืออยู่ และการสู้กับเจ้าใหญ่เพียงรายเดียวนั้นย่อมง่ายกว่าการต้องต่อสู้กับคู่แข่ง หลายๆรายที่แห่ลงมาเล่นในตลาดเดียวกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะเกิดสภาพการแข่งขันที่ดุเดือดชนิดต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บ สะบักสะบอมจนไม่มีใครยืนอยู่ในตลาดได้ ขณะที่การสู้กับเจ้าตลาดรายเดียวนั้นเราสามารถหาจุดแข็งที่ยักษใหญ่ไม่มีมา เป็นกลยุทธ์ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดได้
       
       โดยกระทิงแดงเลือกที่จะใช้ 3 กลยุทธ์ในการบุกตลาด ประการแรกคือ 'กลยุทธ์ด้านราคา' ที่เจ้าสัวเฉลียวใช้เป็นหัวหอกในการตีตลาด ขณะเดียวกันก็ควบคุมคุณภาพในอยู่ในระดับเดียวกับลิโพวิตัน-ดี กลยุทธ์ที่ 2 คือ 'การโปรโมชั่น' หรือการส่งเสริมการขายที่มีประสิทธิภาพ โดยปูพรมทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร เพื่อสร้างความรู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกพื้นที่ของประเทศ และ 3 คือ 'การแจกฟรี' ให้ทดลองดื่มซึ่งถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์การ ตลาดที่เจ้าสัวเฉลียวเคยใช้ได้ผลมาแล้ว ในช่วงนั้นจึงได้เห็นภาพการแจกเครื่องดื่มกระทิงแดงให้บรรดาสิงห์รถบรรทุก และสายตรวจทางหลวงทุกจุดทั่วประเทศ ไม่นับรวมการแจกจ่ายให้ผู้ใช้แรงงานที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ ถึงขั้นที่บางครั้งเจ้าสัวเฉลียวลงไปเดินสายแจกด้วยตัวเองเลยทีเดียว ว่ากันว่าในการบุกตลาดในช่วงแรกนั้นมีการแจกกระทิงแดงให้ลูกค้าไปทดลองดื่ม กันฟรีๆ เป็นจำนวนหลายล้านขวด คิดเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน
       
       แต่การทุ่มทุนครั้งนั้นก็นับว่าได้ผลเกินคาด เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ปูพรมในทุกรูปแบบทำให้ไม่ว่าบ้านเล็กซอยน้อยต่าง ก็รู้จักกระทิงแดง ชนิดที่เรียกว่า ถ้าใครไม่รู้จักกระทิงแดง ต้องถือว่า 'เชยแหลก' ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของกระทิงแดงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งการตลาดจากเจ้าใหญ่อย่างลิโพวิตัน-ดีได้ภายในเวลาอัน รวดเร็ว ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ยักษ์ใหญ่ค่ายโอสถสภาต้องขยับปรับกลยุทธ์ใน เวลาต่อมา โดยส่งเอ็ม 150 เครื่องดื่มชูกำลังอีกยี่ห้อหนึ่งมาเป็นคู่แข่งในตลาดล่างเพื่อช่วงชิงส่วน แบ่งการตลาดคืน
       
       ต่อมาในปี 2527 กระทิงแดงได้สยายปีกบุกตลาดไปสู่ต่างประเทศ โดยลงทุนร่วมกับนายดีทริช เมเทสซิทซ์ (Dietrich Mateschitz) นักธุรกิจชาวออสเตรีย ก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH. ในประเทศออสเตรียโดยนายเฉลียวถือหุ้น 49% และนายเฉลิม ลูกชายถือหุ้นอีก 2% ผลิตและวางจำหน่ายกระทิงแดงในยุโรป ภายใต้ยี่ห้อเรดบูล (Red Bull)และส่งไปขายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการประกาศศักดาของสินค้าไทยชนิดที่ฝรั่งตาน้ำข้าวยังต้องทึ่ง และกลายเป็นกรณีศึกษาที่มหาวิทยาลัยต่างๆทั่วโลกต้องนำไปบรรจุไว้ในหลักสูตร การตลาด
       
       จากความมุมานะ และมันสมองอันชาญฉลาดของเจ้าสัวเฉลียวนี่เองที่ทำให้เขาสามารถปั้นบริษัท เล็กๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คนจนกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานนับพันคน แตกไลน์ผลิตสินค้าออกไปหลากหลายชนิด และทำให้ชื่อของ 'เฉลียว อยู่วิทยา' ติดอยู่ในมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของโลก โดยเขารวยติดอันดับโลกมาตั้งแต่ปี 2546 โดยขณะนั้นเขาอยู่ในอันดับ 386 และไต่อันดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
       
       ล่าสุด นิตยสารฟอร์บส์เพิ่งจัดอันดับเศรษฐีระดับโลกประจำปี 2554 ไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา และชื่อ นายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของแบรนด์ดังกระทิงแดงหรือเรดบูล ก็อยู่ในอันดับ 205 และรวยเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย มีมูลค่าทรัพย์สิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.5 แสนล้านบาท
       
       **มรสุมครั้งใหญ่
       
       อย่างไรก็ดี เส้นทางธุรกิจของมหาเศรษฐีผู้นี้ก็หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องผ่านมามรสุมชีวิตมาหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ค้าขายเจ๊งไม่เป็นท่าเมื่อครั้งที่เริ่มทำการค้าในช่วงแตกเนื้อหนุ่ม ต้องย้ายโรงงานผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ยาเพราะถูกเวนคืนที่ แต่ครั้งที่ถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุดและนับเป็นช่วงวิกฤตของชีวิตก็คือใน ช่วงที่ถูกมรสุมการเมืองเล่นงาน โดยมีกรรมาธิการสาธารณสุขและกลุ่มนักวิชาการจับมือกันรุมกระหน่ำ โดยการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบขององค์การอาหารและยา (อย.) ที่ใช้อยู่ และตั้งเงื่อนไขเข้ามาควบคุมเครื่องดื่มชูกำลังทุกยี่ห้อด้วยการจำกัดปริมาณ กาเฟอีนให้เหลือไม่เกิน 0.050 กรัม จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 0.080 กรัม ซึ่งครั้งนั้นเครื่องดื่มชูกำลังที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือกระทิงแดง เพราะมีกาเฟอีนมากกว่ายี่ห้ออื่น เนื่องจากชูจุดขายว่า “กระทิงแดงแน่นอนกว่า” จึงต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นทันที หากกระทิงแดงต้องปรับสูตรตามเงื่อนไขของ อย.ผู้บริโภคที่เคยเป็นขาประจำอยู่อาจตัดสินใจเลิกซื้อเพราะสรรพคุณไม่ เหมือนเดิม
       
       ขณะที่คู่แข่งเครือโอสถสภานั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยเฉพาะลิโพวิตัน-ดีที่วางตัวเองไว้เป็นเครื่องดื่มชูกำลังในตลาดบน ส่วนผสมจึงมีกาเฟอีนน้อย ส่วน เอ็ม 100 และ เอ็ม 150 ที่ค่ายโอสถสภาส่งมาตีตลาดเดียวกับกระทิงแดงนั้นก็ยังมีกาเฟอีนในระดับกลางๆ เพราะขณะออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโอสถสภายังไม่แน่ใจว่าทิศทางตลาดจะไปในทางไหน จึงเลือกสูตรกลางๆไว้ก่อน นอกจากนั้นก็มีการเปิดช่องให้สินค้าค่ายอื่นๆเข้ามาบุกตลาดเครื่องดื่มชู กำลังได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าระดับท้องถิ่นที่มีราคาต่ำกว่า
       
       ในครั้งนั้นจะเห็นปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่ไม่ ธรรมดา โดยขณะที่ นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม และนายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ เลขาธิการพรรคกิจสังคม ออกรายการ 'มองต่างมุม' ได้มีการกล่าวพาดพิงถึงพ่อค้าในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังในทำนองว่ามี อภิสิทธิ์ในกระทรวงสาธารณสุขและในองค์การอาหารและยา พร้อมทั้งโจมตีว่าเครื่องดื่มประเภทนี้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแม้จะมีการลด ปริมาณคาเฟอีนลงแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมรัฐบาลหลายยุคที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไข ปัญหาเรื่องนี้ได้
       
       ในแวดวงต่างฟันธงตรงกันว่านักธุรกิจที่ถูกกล่าวถึงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา” !!
       
       ข้อกล่าวหาดังกล่าวถึงกับทำให้เจ้าสัวเฉลียวซึ่งปกติไม่ชอบสุงสิงกับ ใคร ถึงกับนั่งไม่ติด ถึงกับลงทุนซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเพื่อลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงว่า เครื่องดื่มกระทิงแดงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ได้โฆษณาเกินจริง พร้อมทั้งเสนอผลวิจัยที่ชี้ว่ากระทิงแดงมีปริมาณคาเฟอีนเท่ากับกาแฟ 1 ถ้วยเท่านั้น และมีการระบุในโฆษณาทุกชิ้นด้วยว่า “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด” ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
       
       ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ผ่านมานั้นธุรกิจของเจ้าสัวเฉลียวมักถูกถล่มจากกลุ่ม แพทย์และนักวิชาการอยู่เป็นระยะ นอกจากนั้นทุกครั้งมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมักจะมีการหยิบยกประเด็น เรื่องเครื่องดื่มชูกำลังขึ้นมาโจมตี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เฉลียวจะต้องหาเครือข่ายการเมืองไว้เป็นพันธมิตรเพื่อ เป็นเกราะคุ้มกัน ว่ากันว่าเจ้าสัวเฉลียวนั้นมีความสนิมสนมกับนักการเมืองใหญ่ในหลายพรรค โดยเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายชวน หลีกภัย , พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ , ดร.พิจิตต รัตตกุล มารุต บุนนาค สุทัศน์ เงินหมื่น นอกจากนั้นเขายังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เนื่องจากเจ้าสัวเฉลียวเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนรายใหญ่ของโครงการอีสานเขียว ที่ พล.อ.ชวลิต ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธาน
       
       การสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองของเจ้าสัวเฉลียวแห่งค่ายกระทิงแดง นั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบรรดาผู้บริหารของค่ายโอสถสภา เจ้าของลิโพวิตัน-ดี ก็มีความสนิทสนมกับพรรคชาติพัฒนา ของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เช่นกัน !!
       
       ณ วันนี้หลายคนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า หากเครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์กระทิงแดงมีปัญหาต่อสุขภาพจริง เหตุใด 'เรดบูล' ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน จากผู้ผลิตรายเดียวกันสามารถส่งออกไปจำหน่ายได้ทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างสูงในแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพ
       
       **แทนคุณแผ่นดิน
       
       แม้เจ้าสัวเฉลียวจะเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบออกงานสังคม ไม่ชอบให้สัมภาษณ์หรือเป็นประธานในงานปาฐกถาใดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้คนในสังคมเห็นตรงกันก็คือเจ้าสัวเฉลียวเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตน มุ่งเน้นคุณธรรมในการทำธุรกิจ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ พอเพียง ต่างจากมหาเศรษฐีทั่วไป ที่สำคัญเขายังมีแนวคิดว่า “เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นได้มาจากกำลังซื้อของพี่น้องคนไทย ดังนั้นจึงควรนำเงินกำไรที่ได้รับกลับไปตอบแทนคุณแผ่นดิน”
       
       ดังนั้นเครือกระทิงแดงจึงมีโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมนับร้อย โครงการตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา คิดเป็นเงินกว่ากว่าพันล้านบาท โดยแทบจะไม่มีการประชาสัมพันธ์ใดๆให้สังคมรับรู้ ที่สำคัญยังเป็นการช่วยเหลือที่ไม่ได้ทำเพียงเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ องค์กร แต่เป็นการช่วยเหลืออย่างจริงจังถึงขั้นที่มีการจัดตั้งเป็นแผนกขึ้นมาโดย เฉพาะ โดยมี 'ตุ๊กตา' สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา ลูกสาวที่ถอดแบบการดำเนินชีวิตมาจากป๋าเฉลียว เป็นผู้ดูแลแผนกนี้โดยตรง ซึ่งในหลายโครงการคุณตุ๊กตามีคำสั่งสายตรงให้ทีมงานลงไปฝังตัวทำโครงการใน พื้นที่จนกว่าโครงจะแล้วเสร็จ ไม่ว่าเป็นการพัฒนาแหล่งน้ำ โครงการสร้างอาชีพ
       
       อีกทั้งขณะนี้ยังมีการสร้างเครือข่ายเพื่อหาแนวร่วมในการพัฒนาสังคม โดยมีการดึงกลุ่มวัยรุน วัยทำงาน และประชาชนทั่วไปร่วมทำกิจกรรมพัฒนาสังคมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการขยายเครืข่ายในการทำความดีให้กว้างออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งโครงการหนึ่งที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ 'โครงการกระดานดำ' ซึ่งกระทิงแดงสนับสนุนโครงการค่ายอาสาสมัครเพื่อสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กๆใน พื้นที่ธุรกันดาร
       
       นอกจากนั้นน้อยคนนักที่จะทราบว่ายาที่ใช้ใน 'โครงการแพทย์อาสา' นั้น เจ้าสัวเฉลียวได้ผลิตถวายในนามบริษัท ทีซีมัยซิน จำกัด มาตลอด และในวงการแพทย์จะทราบกันดีว่าโรงพยาบาลใดขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ก็ สามารถขอความอนุเคราะห์จากเจ้าสัวเฉลียวได้ แม้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยหรือรักษาจะมีราคาหลายสิบล้าน จนถึงขั้นเป็นร้อยล้านก็มี แต่ทุกโรงพยาบาลที่ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสัวเฉลียวก็ไม่เคยผิดหวังกลับไป อย่างเช่น โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งมีผู้สร้างตึกรักษาโรคหัวใจให้ แต่ไม่มีเงินซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาซึ่งมีราคาสูงถึง 40 ล้านบาท ตระกูลอยู่วิทยาก็บริจาคให้ด้วยความเต็มใจ
       
       “สมัยเด็กดิฉันค่อนข้างใกล้ชิดกับคุณพ่อ เห็นท่านทำงานตามเสด็จโครงการพัฒนาชนบท สร้างฝายชลประทาน อีสานเขียว คุณพ่อจะให้ทุนกับทหารที่ทำงาน ช่วงหน้าหนาวก็แจกผ้าห่มและเสื้อผ้าให้เด็กๆในต่างจังหวัด มันเป็นภาพที่เราเห็นมาตลอด ตอนเด็กๆ จะถามคุณพ่อมาตลอดว่าคราวนี้ไปจังหวัดไหนมา เอาอะไรไปให้ชาวบ้าน และเราก็ตั้งใจตั้งแต่นั้นเลยว่าถ้าเรียบจบจะทำแบบที่คุณพ่อทำ” สุทธิรัตน์ เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอมุ่งมั่นทำโครงการต่างๆ เพื่อสังคม จนเป็นที่มาของฉายา 'ไฮโซเอ็นจีโอ' ที่บรรดาสื่อมวลชนตั้งให้กับเธอ แม้วันนี้ เจ้าสัวเฉลียวจะจากไป ...แต่แนวคิดเหล่านี้ยังคงมีลูกๆที่ช่วยกันสานต่อ ด้วยเชื่อมั่นในคำสอนของ 'ป๋าเฉลียว' ที่บอกลูกๆให้ “ยึดคุณธรรม และแทนคุณแผ่นดิน”
       
       ชีวิตสมถะของเศรษฐีแสนล้าน
       
       ภาพที่เด่นชัดและคำจำกัดความของ 'เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา' ก็คือเมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตอย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่สนใจรถโก๋ ไม่เห็นความสำคัญของแบรนด์เนม และมีเสียงเล่าลือว่าบ้านที่เจ้าสัวเฉลียวพำนักอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของ ชีวิตนั้นเป็นเพียงบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ หาใช่คฤหาสน์หรูดังเช่นเศรษฐีทั่วไป ในสายตาของบรรดาลูกน้องในบริษัทกระทิงแดงนั้นแม้เจ้าสัวเฉลียวจะเป็นคนที่ทำ งานจริงจัง และลงมาดูรายละเอียดในทุกขั้นตอน แต่ก็เป็นเจ้านายที่ไม่ถือตัว ไม่มีมาด ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ป๋าเหลียวจึงเป็นที่รักและเคารพของบรรดาพนักงานทุกคน
       
       ในด้านของชีวิตครอบครัวนั้น เจ้าสัวเฉลียวมีภรรยา 2 คน และลูกด้วยกันรวมทั้งหมด 11 คน ภรรยาคนแรกคือ 'คุณนกเล็ก สดศรี' มีบุตรด้วยกัน 5 คน ได้แก่ สายพิณ เฉลิม พิณทิพย์ พึงใจ และศักดิ์ชาย ส่วนภรรยาคนที่ 2 คือ 'ภาวนา หลั่งธารา' มีบุตรด้วยกัน 6 คน ได้แก่ สุทธิรัตน์ จิรวัฒน์ ปนัดดา สุปรียา สราวุฒิ และนุชรี ซึ่งปัจจุบันนี้ลูกๆเกือบทุกคนก็ยังคงช่วยกันบริหารธุรกิจของครอบครัวอยู่ และต่างก็รับแนวคิดแบบสมถะเช่นนี้จากบิดามาเช่นกัน
       
       ทั้งนี้ สุทธิรัตน์อยู่วิทยา หรือคุณตุ๊กตา พูดถึงคุณพ่อในขณะให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “ ทั้งเนื้อทั้งตัวของป๋าไม่มีเครื่องประดับอื่น นอกจากนาฬิกาเรือนเดียว ยี่ห้อราโด้ เสื้อผ้าก็ไม่ยอมซื้อไม่พกเงิน โดยชีวิตประจำวันจะเริ่มจากการขี่จักรยานตอนเช้า ใส่เสื้อตัวเดียวนุ่งกางเกงแพร วาไรตี้ ใส่หมวกงอบแล้วขี่จักรยานวนไปรอบโรงงานเจออะไรไม่เรียบร้อยก็จะแวะเข้าไป ตรวจดู”
       
       จนมีเรื่องตลกครั้งหนึ่งว่า มียามหน้าใหม่ที่ไม่รู้จัก เฉลียว อยู่วิทยา เมื่อ เห็นลุงแก่ๆ ขี่จักรยานเข้ามาในโรงงานซึ่งเป็นเขตคนนอกห้ามเข้า เขาจึงตะโกนห้ามแต่มียามเก่าแก่สะกิดบอก เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดง จึงทำให้ยามใหม่ถึงกับหน้าถอดสี
       
       นอกจากนี้ยังเคยมีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เสนอมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้แก่เขา แต่เจ้าสัวเฉลียวปฏิเสธโดยกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เพราะเขาไม่ได้ร่ำเรียนมา การรับปริญญาจึงเป็นการเอาเปรียบคนที่ร่ำเรียนมา ซึ่งปรัชญาในการทำงานที่เรียบง่าย แต่จริงจังเหล่านี้ เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ถ่ายทอดมาจนถึงทายาทในรุ่นปัจจุบัน


ทายาท "อยู่วิทยา" ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จาก ความสำเร็จของแบรนด์ “กระทิงแดง” ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากการบริหารของทายาท ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มผู้บริหารคนรุ่นใหม่ที่ “เฉลียว อยู่วิทยา” ผู้ เป็นพ่อวางตัวด้านธุรกิจไว้ก่อนหน้าเพื่อนำกิจการไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เพราะหลังจากที่เฉลียวได้สร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่แล้ว เฉลียว ก็ส่งไม้ต่อให้ทายาทตระกูลอยู่วิทยาเป็นผู้สืบทอดธุรกิจ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วแต่ละคนก็ล้วนเป็นลูกไม้ไม่ไกลต้น
       
       ทั้งนี้ ต้องนับว่าตระกูลอยู่วิทยามีทายาทหลายคนที่โดดเด่นในเรื่องการทำธุรกิจหลาย คน แต่ถ้าคนที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุด ผู้ที่อยู่ในทุกความสำเร็จของตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “เฉลิม อยู่วิทยา” ลูกชาย คนโตของตระกูล
       
       “เฉลิม” เป็นลูกชายคนโตของ “โกเหลียว” กับภรรยาคนแรกคือ “นางนกเล็ก สดศรี” เขาคือกำลังสำคัญและถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิดกระทิงแดงร่วมกับบิดา ซึ่งวันนี้อยู่ในฐานะประธาน บริษัท เรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด ฯ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ดูแลตลาดในภาคพื้นยุโรปและเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยาม ไวเนอรี่ จำกัดและอีกกว่า 20 บริษัทในเครือ
       
       ว่ากันว่า ถึงแม้จะเป็นนักเรียนนอก และเป็นถึงลูกเจ้าของบริษัท แต่เฉลิมเป็นคนสู้ชีวิต และเป็นคนรักครอบครัว ติดดิน มีหัวใจนักสู้เหมือนบิดา ช่วยงานบิดาทุกอย่างและเกือบจะทุกขั้นตอนเท่าที่จะทำได้ เรียกว่าถอดพิมพ์เขียวของบิดามาแบบไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว
       
       นอกจากนั้น เฉลิมยังมีบทบาทหลักในการพัฒนาสูตร, ตราสินค้า และบรรจุภัณฑ์ของกระทิงแดงให้ติดตลาดทั้งในประเทศและระดับอินเตอร์ รวมทั้งเป็นหัวหอกสำคัญในการบุกเบิกตลาดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เป็นเจ้า แรกๆ ในเมืองไทย ตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว โดยทุ่มทุนกว่า 400 ล้านบาท สร้าง “สปาย ไวน์ คูลเลอร์” ให้เป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภค ก่อนจะก้าวสู่ความเป็นผู้นำการผลิตไวน์คุณภาพระดับแถวหน้าของเอเชีย ส่งออกไวน์ไทย ภายใต้ชื่อ “มอนซูน แวลลี่ย์” ไปวางขายทั่วทุกมุมโลก
       
       “คุณพ่อเป็นต้นแบบทางธุรกิจของผมและเป็นครูคนแรก!! ผมไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุ 11 ขวบ จนจบด้านการบริหารจัดการที่อังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ เดินทางกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 23 และถูกคุณพ่อดึงตัวมาช่วยงานที่บริษัทผลิตยา ที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล ตอนนั้นผมต้องลุยจับธุรกิจทุกอย่าง ตั้งแต่การทำแพ็กเกจ,ฉลาก, จัดโกดัง, ดูแลสต็อก, สั่งวัตถุดิบ หลังจากทำงานได้ 2 ปี ก็เริ่มหันมาจับกระทิงแดง คุณพ่ออยากทำ ผมจึงสานต่อไอเดียของท่าน ตอนนั้นลงมือทำเองทุกอย่าง เป็นคนชิมรสชาติ และทดลองผลิต ใช้เวลาลองผิดลองถูกหลายเดือน เอาไปให้เพื่อนๆ ที่กรมศิลปากรชิมแล้วชิมอีก จนได้รสชาติที่ถูกใจ ปรากฏว่าพอออกวางขาย ติดตลาดเร็วมาก ภายในเวลาไม่กี่ปี ก็กลายเป็นเครื่องดื่มชูกำลังอันดับหนึ่งของเมืองไทย ก่อนจะขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ในชื่อเรด บูล” เฉลิมเล่าถึงประสบการณ์ทำงานช่วงแรกๆ หลังจากกลับจากศึกษาที่เมืองนอก
       
       ครั้งหนึ่ง เฉลิมเคยบอกว่าชีวิตของเขานั้นมีอยู่ 3 อย่าง ความฝันที่หนึ่ง ต้องการนำสินค้าไทยไปบุกตลาดต่างประเทศซึ่งเรดบูลก็ได้ทำสำเร็จมาแล้ว ความฝันที่สอง เขาอยากเห็นธงชาติไทยและโลโก้กระทิงแดงหรือเรดบลูไปผงาดติดอยู่บนรถแข่งของฟอร์มูล่าวัน ซึ่งก็สำเร็จลุล่วงไปแล้ว ความฝันที่สาม ต้องการให้เมืองไทยมีอุตสาหกรรมไวน์เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และไวน์ไทย มอนซูน แวลลีย์ ก็ได้สร้างชื่อให้ประเทศไทยเมื่อปี 2553 โดยสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกรียติ จากการแข่งขันไวน์นานาชาติ international wine challenge 2010 และ งาน decanterworld wine awards 2010 ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งความฝันทั้งหมด ก็เป็นจริงอย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว
       
       ส่วนทายาทตระกูลอยู่วิทยา อีกคนหนึ่งที่จะต้องเอ่ยถึงซึ่งถือว่าถอดแบบตามรอยเท้าของเจ้าสัวเฉลียว ก็คือ สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา บุตร สาวคนโต ซึ่งเป็นลูกคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 11 คน ที่เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้บริหารนับเป็นเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในสายงานธุรกิจตลาดระหว่างประเทศ หลังจากที่เฉลียววางมือจากธุรกิจและย้ายไปอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ของกระทิงแดงในปัจจุบันแทน
       
       กล่าวถึงสุทธิรัตน์นับเป็นหนึ่งทายาทที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นหัวหอกดูแลงานในด้านตลาดต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นตลาดหลักของแบรนด์กระทิงแดงในหลายปีที่ผ่านมาแล้ว เธอยังรับหน้าที่สานต่อภารกิจของเจ้าสัวเฉลียวที่ได้ปูทางไว้เมื่อครั้งยัง บุกเบิกธุรกิจ นั้นคืองานด้านกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดเพื่อช่วยเหลือตอบแทนสังคมของเฉลียว โดยปัจจุบันเธอก็ยังได้ดำรงตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการแผนกกิจกรรมเพื่อสังคม ทำหน้าที่ดูแลควบคุมงานด้านส่งเสริมและช่วยเหลือสังคมของบริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด เพื่อสืบสานปณิธานของบิดาอย่างแน่วแน่
       
       ว่ากันว่าเธอมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับเฉลียวผู้เป็นพ่อ จะพูดว่าถอดแบบมาก็ไม่ผิด ตั้งแต่เรื่องการใช้ชีวิตอย่างสมถะ แต่งตัวเรียบง่าย บุคลิกหน้าตาและอุปนิสัยที่ไม่ชอบเปิดตัว โดยเธอบอกว่า “ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ไม่ใช่มาตรวัดความความสำเร็จ แต่ความสำเร็จแท้จริงคือทำอย่างไรให้สังคมมีคุณภาพ” จนนำมาสู่แนวคิดริเริ่มโครงการ เรดบลู สปิริต (red bull spirit) ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือสังคมหลายด้าน อาทิ โครงการใจสมานใจ กิจกรรมศิลปะดนตรีเพื่อเยียวยาเด็กและเยาวชน โครงการพี่เลี้ยงอาสาเพื่อนักกีฬาผู้พิการทางสมองและปัญญา โครงการรักษ์ป่าชายเลน โครงการอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำมูล เขาแผงม้า โครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ปิง เป็นต้น
       
       ปัจจุบันสุทธิรัตน์นั่งในตำแหน่งรองประธานกรรมการ
       
       นอกจากนั้นแล้ว ในส่วนของทายาทรายอื่น ก็ยังได้ถูกส่งไปดูแลธุรกิจของ เจ้าสัวเฉลียวกันอย่างครบครัน ด้วยการดอดเข้ามาอุ้มธุรกิจของโรงพยาบาลปิยะเวท ด้วยการเข้าเทกโอเวอร์โรงพยาบาลแห่งนี้ในสัดส่วนหุ้น 75%จนเมื่อปี 2552 ได้เพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นเป็น 90%
       
       ขณะที่ “จิรวัฒน์ อยู่วิทยา” ทายาทคนที่ 2 ของตระกูลคือ คนที่ถูกเลือกให้นั่งในตำแหน่งประธานกรรมการคนใหม่
       
       “นโยบายหลักเลยที่คุณเฉลียวฝากมา ในฐานะที่เป็นธุรกิจใหม่และเป็นโรงพยาบาล คุณเฉลียวจะเน้นเงื่อนไข คือ ต้องบริหารจัดการโดยไม่มุ่งเน้นผลกำไรแต่จะเน้นด้านบริการแพทย์เชี่ยวชาญ มีจริยธรรม เพราะว่า ปัจจุบันวงการแพทย์ค่อนข้างจะพาณิชย์เยอะ คุณเฉลียวก็สร้างโรงพยาบาลในต่างจังหวัดมาเยอะ เลยมองว่า ในเมื่อสร้างโรงพยาบาลมาเยอะ ลองมาบริหารโรงพยาบาลดูว่าจะเป็นไง”
       
       “ธุรกิจโรงพยาบาล ในมุมมองของคุณเฉลียว มองเป็นยูนิตการกุศลมากกว่า เลยไม่ได้คิดเรื่องต่อยอดธุรกิจเลย มองแค่สั้นๆ เอาโรงพยาบาลเป็นการกุศล มองว่าเป็นซีเอสอาร์ ตอบแทนกำไรคืนสังคม"จิรวัฒน์ อยู่วิทยา ทายาทคนที่ 2 ของตระกูลอยู่วิทยา ได้กล่าวไว้
       
       อย่างไรก็ดี ส่วนในทายาทรายอื่นๆนั้นก็ยังมีส่วนอยู่ในการสืบทอดธุรกิจตระกูลอยู่วิทยา ต่อจาก เจ้าสัวเฉลียว ไม่ว่าจะเป็น สายพิณ พึงใจ ศักดิ์ชาย ปนัดดา สราวุฒิ และนุชรี ก็ยังมีตำแหน่งสำคัญในการบริหารในกิจการของตระกูลอยู่วิทยาในส่วนอื่นๆ อยู่
       
       แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน สำหรับทายาทตระกูลอยู่วิทยาก็คือ ทั้งหมดได้รับการปลูกฝังมาจากเจ้าสัวเฉลียว ในเรื่องของการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ลงมือปฏิบัติมากกว่าพูด ต้องไม่เอาเปรียบใครในการทำธุรกิจ และเรื่องกตัญญูที่ต้องรู้จักตอบแทนคนที่เคยช่วยเหลือมา และสุดท้ายก็ต้องไม่ลืมตอบแทนต่อสังคม แผ่นดินเกิด ตลอดเวลา
       
       และถึงแม้ว่า "เฉลียว" จะจากโลกนี้ไปแล้วแต่สิ่งที่เขาฝากไว้ในโลกแห่งนี้ คือ รากฐานธุรกิจที่แข็งแรง รวมถึงทายาทที่พร้อมจะสานต่อกระทิงแดงและธุรกิจในเครืออีกมากมายให้โลดแล่น ไปในโลกธุรกิจต่อไป ซึ่งทายาททั้งหมดของเฉลียว มาถึงวันนี้ก็ยังคงสืบทอดเจตนารมณ์ของเฉลียว อยู่วิทยา อยู่ตลอดเวลา ด้วยหลักการทำธุรกิจที่เน้นในเรื่องคุณธรรม อยู่ไม่เสื่อมคลาย


RED BULL โกอินเตอร์ “เฉลียว” ดันแบรนด์ไทยกระหึ่มโลก

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
-“Chaleo Yoovidhya,who made a fortune in Red Bull energy drink,dies in Thailand”

       
       นั่นคือพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ The Washington Post ซึ่งเขียนโดย T.Rees Shapiro ถึงการเสียชีวิตของ “เฉลียว อยู่วิทยา” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมหาเศรษฐีที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตย สารฟอร์บส์ว่าเป็นบุคคลที่รวยอันดับ 205 ของโลกด้วยทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 พันล้านบาท
       
       แน่นอน ความร่ำรวยระดับโลกของเจ้าพ่อกระทิงแดงผู้นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากเขาไม่สามารถประกาศศักดาแบรนด์ Red Bull ด้วยการตัดสินใจลงทุนร่วมกับ “นายดีทริช เมเทสซิทซ์(Dietrich Mateschitz)” นักธุรกิจ ชาวออสเตรียในการนำเครื่องดื่มบำรุงกำลังอย่าง “กระทิงแดง” โกอินเตอร์ด้วยการทำตลาดต่างประเทศภายใต้ชื่อ Red Bull ซึ่งส่งผลทำให้ตัวเลขทรัพย์สินและมูลค่าหุ้นของเขาเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
       
       ยอดขาย Red Bull 4.4 พันล้านกระป๋องต่อปีใน 162 ประเทศคือประจักษ์พยานยืนยันความสำเร็จของเฉลียวได้เป็นอย่างดี
       
       จุดเริ่มต้นที่กลายเป็นตำนานที่กล่าวขานกันอย่างไม่รู้จบของเครื่อง ดื่มให้กำลังงานหรือเอนเนอร์ยี ดริงก์(Energy Drink) ภายใต้แบรนด์กระหึ่มโลกอย่าง Red Bull เกิดขึ้นเมื่อนายดีทริช นักธุรกิจชาวออสเตรียซึ่งมีพื้นฐานเป็นเซลส์ขายยาเหมือนเฉลียวได้เดินทางมา ยังประเทศไทยในปี ค.ศ.1982 หรือ พ.ศ.2525 และได้ทดลองดื่มเครื่องดื่มกระทิงแดงเพื่อแก้อาการเมื่อยล้าจากการเดินทาง โดยเครื่องบินหรืออาการเจ็ตแล็ก(Jet Lag)
       
       “One Glass and the jet lag was gone”
       
       ดีทริชบอกกับนิตยสารอีโคโนมิสต์ในปี พ.ศ.2545
       
       หลังจากประทับใจในเครื่องดื่มกระทิงแดง ดีทริชก็เล็งเห็นถึงการต่อยอดทางธุรกิจ จากนั้นก็นำไปสู่การเจรจาทางธุรกิจกับเฉลียวที่บริเวณสระน้ำโรงแรมสยาม อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันถูกรื้อและก่อสร้างเป็นศูนย์การค้าสยามพารากอน ค.ศ.1982 หรือ พ.ศ.2525 ตลาดในยุโรปจากนั้นก็นำไปสู่การเจรจาทางธุรกิจกับเฉลียวเพื่อโน้มน้าวและชัก จูงให้เขาดื่มเครื่องดื่มกระทเพื่อโน้มน้าวและชักจูงให้เขานำเครื่องดื่ม กระทิงแดงมาเปิดตลาดในยุโรป
       
       ในที่สุดเฉลียวก็ตัดสินใจร่วมลงทุนกับดีทริชก่อตั้ง “บริษัท Red Bull GmbH” ในประเทศออสเตรียราวปี พ.ศ.2527 โดยเฉลียวถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ และบุตรชายคนโตของเขาที่เกิดกับภรรยาแรก-นางนกเล็ก สดสีคือ “เฉลิม อยู่วิทยา” ถือ หุ้นอีก 2 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นในอีก 3 ปีถัดมาคือปี พ.ศ.2530 Red Bull ในกระป๋องสีเงินก็วางจำหน่ายและส่งขายใน 70 ประเทศ หลังจากดีทริชและเฉลิมทำงานใต้ดินเพื่อวิจัยการตลาด การวางตำแหน่งของสินค้า การออกแบบกระป๋อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการวิจัยอย่างละเอียดเป็นเวลานานถึง 3 ปี
       
       ทั้งนี้ ภายหลังวางจำหน่าย Red Bull ประสบ ความสำเร็จทางการตลาดทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักผ่านการสนับสนุนการแข่งขันกีฬาหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งสกี กีฬาประเภทเอ็กซ์ตรีม ลีกแข่งขันทางอากาศ เรดบูลแอร์เรซเวิลด์ซีรีส์ (Red Bull Air Race World Series) และเรดบูลบาราโก ทีมบาสเกตบอลในฟิลิปปินส์ ฯลฯ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการสนับสนุนการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน พร้อมส่งทีมเรดบูล เรซซิ่ง ฟอร์มูล่าวัน(Red Bull Racing Formula1) เข้าร่วมแข่งขันและได้แชมป์โลกรถสูตร 1 ในปี ค.ศ.2010
       
       ขณะเดียวกัน Red Bull เป็นเจ้าของทีมกีฬาหลายทีมได้แก่
       เรดบูลนิวยอร์ก ทีมฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาแข่งในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ เรดบูลเรซซิง ทีมแข่งรถสูตรหนึ่งในออสเตรีย
       สคูเดเรียโตโรรอซโซ ทีมแข่งรถสูตรหนึ่งในอิตาลี
       ทีมเรดบูล ทีมแข่งรถแนสคาร์
       เรดบูลซาลซ์เบิร์ก ทีมฟุตบอลและทีมฮอกกีในออสเตรีย
       เรดบูล เคทีเอ็ม ทีมแข่งรถจักรยานยนต์วิบาก และ MotoGP
       
       ด้วยเหตุดังกล่าว ภาพลักษณ์ของ Red Bull ในต่างประเทศกับกระทิงแดงในเมืองไทยจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
       
       ในเมืองไทยเครื่องดื่มกระทิงแดงอาจเป็นเครื่องดื่มสำหรับตลาดกลางลง ไปถึงตลาดล่าง แต่ในต่างประเทศแล้ว Red Bull และ Red Bull Extra คือเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสำหรับลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นในยุโรป อเมริกาและประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความท้าทาย
       
       เฉลียว อยู่วิทยาให้สัมภาษณ์พิเศษ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ฉบับที่ 328 (วันที่ 15-21 มีนาคม 2536) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก โดยขณะนั้นกระทิงแดงซึ่งเป็นเครื่องดื่มชูกำลังกำลังเผชิญมรสุมทางธุรกิจ อย่างหนัก ทั้งจากรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุขและนักวิชาการ แต่ก็มีข้อมูลบางวรรคบางตอนที่เฉลียวเปิดเผยถึงการทำธุรกิจเครื่องดื่มให้ พลังงานในต่างประเทศเอาไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว
       
       “เราไม่ได้ทำจริงจังเพียงประมาณ 10% แต่ก็ไม่เลวนัก ในออสเตรียมีคน 3 ล้านคน เราก็ขายได้เดือนละ 3 ล้านกระป๋อง สิงคโปร์มีคน 2.5 ล้านคน เราก็ขายได้เดือนละ 2 ล้านกระป๋อง ส่วนอินโดนีเซียเราเพิ่งเริ่ม ส่งไปเดือนละ 10 ตู้”
       
       “โรงงานที่ออสเตรียนั้นจัดส่งไปอเมริกา ฮ่องกง มาเก๊า ส่วนบรูไนเราให้เอเยนต์ที่สิงคโปร์จัดการ”เฉลียวให้ข้อมูลเมื่อถูกถามถึงการ ทำธุรกิจในต่างประเทศ
       
       กระนั้นก็ดีข้อมูลที่ได้รับจากการให้สัมภาษณ์นิตยสารดิฉันของ “สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา” ลูกสาวของเฉลียว ซึ่งทำให้ได้รับรู้ว่า เส้นทางธุรกิจของ Red Bull ในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย
       
       “ตอนแรกที่เข้าตลาดยุโรป ถือว่าเป็นตลาดที่หินที่สุดเพราะคนยุโรปไม่คุ้นเคยกับคำว่าเครื่องดื่มชู กำลัง ดังนั้น เมื่อกระทิงแดงคือสินค้าตัวแรกที่คนยุโรปรู้จัก เขาจึงรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง ยิ่งเมื่อเขาเห็นคำว่าผลิตในเมืองไทย เขาก็ยิ่งงงเข้าไปอีก”
       
       แต่อุปสรรคดังกล่าวดูเหมือนจะไม่สามารถขัดขวางชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้าได้
       
       ภาพความสำเร็จในการทำธุรกิจต่างประเทศของเฉลียวชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ กระทิงแดงเชิญสื่อมวลชนจากประเทศไทยเข้าร่วมในพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์เครื่องบิน The Hanger-7 ณ เมืองซาลซบวร์ก ประเทศออสเตรียในปลายปี 2546 ซึ่งผู้สื่อข่าวมีโอกาสสัมภาษณ์หุ้นส่วนธุรกิจของเฉลียวคือดีทริชเป็นครั้ง แรก
       
       แน่นอน ข้อมูลที่หลั่งไหลออกมาจากปากของดีทริชทำให้สังคมได้รับทราบถึงความสำเร็จของ Red Bull ในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
       
       ดีทริชสรุปตัวเลขรายได้สิ้นปี 2545 ของ Red Bull GmbH ในยุโรปว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,147 ล้านยูโร โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้น 1,280 ล้านกระป๋อง
       
       นอกจากนี้ ในขณะนั้น Red Bull ยังได้เปิดเผยถึงเป้าหมายการขายทั่วโลกด้วยว่า ในตลาดเอเชียจะมียอดขายประมาณ 1,000 ล้านหน่วย ตลาดยุโรป 1,400 ล้านหน่วย และอีก 500 ล้านหน่วยเป็นประเทศแถบเอเชียและยุโรป
       
       “ในช่วง 12-13 ปีแรกที่ Red Bull ทำตลาด เราไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นแม้แต่ดอลลาร์เดียว เรานำเอาเงินกำไรทั้งหมดกลับมาลงทุนใหม่ในการเปิดตลาดใหม่ การโฆษณา การสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า การทำกิจกรรมการตลาด และเมื่อเราประสบความสำเร็จ คู่แข่งรายอื่นๆ ก็เป็นได้แค่ของเลียนแบบ ซึ่งไม่มีใครต้องการ คนต้องการแต่ของแท้ เรากลายเป็นคนควบคุมตลาด กลายเป็นคนสร้างกฎกติกาและเป็นคนสร้างมาตรฐาน”ดีทริชให้ข้อมูลซึ่งตีพิมพ์ ไว้ในหนังสือ “เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา บุรุษผู้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน”
       
       แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ความแรงของ Red Bull ไม่ได้จำกัดตัวอยู่เฉพาะแค่ตัวสินค้าเท่านั้น หากแต่เสื้อยืดที่มีเครื่องหมายการค้ายังเป็นที่นิยมของฝรั่งแถวถนนข้าวสาร รวมถึงในต่างประเทศอีกด้วย
       
       สำหรับในปัจจุบัน หลังจากที่เฉลียวประกาศวางมือจากธุรกิจ เขาได้มอบหมายภารกิจให้กับทายาทเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย โดยกิจการต่างประเทศตกเป็นของ “เฉลิม อยู่วิทยา” ที่วันนี้รั้งตำแหน่งประธานกรรมการ “บริษัท เรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด กรุงลอนดอน มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บุตรชายคนโตซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญเคียงคู่กับเฉลิมในการทำให้ทั้ง กระทิงแดงและ Red Bull ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศ


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ย้อนตำนาน เจ้าพ่อกระทิงแดง เฉลียว อยู่วิทยา มหาเศรษฐีหัวใจคุณธรรม

view