สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

อุบายสร้างวินัยการออม: การเงินพฤติกรรม 2.0

อุบายสร้างวินัยการออม: การเงินพฤติกรรม 2.0




ตอนที่แล้วผู้เขียนพูดถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของ “การออม” ในการจัดการกลุ่มการเงินชุมชน หรือ “องค์กรการเงินฐานราก” ในภาษาทางการของกระทรวงการคลัง
สมัยก่อนการออมไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับคนไทย ชาวบ้านใช้ระบบลงแขก พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต ขาดเหลืออะไรก็ขอหรือแลกกัน ยามชราก็อาศัยความกตัญญูกตเวที ของลูกหลาน ตามประเพณีอันดีงาม
 

เมื่อใดที่ทุนสังคมในชุมชนแข็งแกร่ง ทุนการเงินของปัจเจกก็ไม่จำเป็นต้องมีมาก และดังนั้นการออมจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในสังคมสมัยใหม่ทุนสังคมอ่อนแอ ลูกหลานพึ่งพาไม่ค่อยได้เพราะลำพังตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด เงินกลายเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิต
 

ในเมื่อเราขาดเงินไม่ได้ แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การออมจึงจำเป็น
 

ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์แขนงใหม่ชื่อ “การเงินพฤติกรรม” (behavioral finance) ส่วนผสมระหว่างจิตวิทยากับเศรษฐศาสตร์ มุ่งทำความเข้าใจกับความผิดพลาดเรื่องเงินของมนุษย์ งานวิจัยและทดลองในหลายประเทศทั่วโลกของนักการเงินพฤติกรรมได้ข้อสรุปว่า ปัญหาการมีเงินแต่ออมเงินไม่ได้นั้น (หมายถึงคนที่มีเงินให้ออม ไม่รวมผู้ยากไร้ที่ไม่มีอะไรจะออม) ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้มีรายได้น้อยอย่างเช่นสมาชิกของกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของคนทุกคนไม่ว่าจะจนหรือรวย ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้สม่ำเสมอ (และดังนั้นเราจึงอาจคิดว่า ง่ายมากที่เขาจะออม)
 

ข้อค้นพบหลักๆ ของการเงินพฤติกรรมคือ คนเรามีข้อบกพร่องโดยธรรมชาติสามประการที่ทำให้การออมเป็นเรื่องยากมาก ข้อบกพร่องนั้นได้แก่ ความเฉื่อย (inertia) ความรังเกียจการสูญเสีย (loss aversion) และอาการสายตาสั้น (myopia)
 

“ความเฉื่อย” หมายถึงการที่คนเราปกติไม่อยากออกแรง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย เช่น ถ้าหากบริษัทโทรคมนาคมให้เราส่งข้อความไปบอกว่า “ไม่อนุญาต” ให้บริษัทส่งข้อความ (SMS) โฆษณาต่างๆ มาหาเราทางมือถือ เราส่วนใหญ่จะรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะส่ง ทำให้บริษัทได้กำไรง่ายๆ จากความเฉื่อยของผู้บริโภค แต่ถ้าการไม่อนุญาตให้ส่งข้อความโฆษณาเป็นตัวเลือกอัตโนมัติหรือ “ค่าเริ่มต้น” (default) ผู้บริโภคคนไหนที่อยากอ่านจะต้องบอก กรณีนี้บริษัทจะมีรายได้น้อยกว่าเดิมมาก แต่ผู้บริโภคจะชอบใจมากกว่า
 

ด้วยเหตุนี้ ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคยุคใหม่จึงต้องคำนึงถึง “ความเฉื่อย” ของคน เพื่อกำหนดว่ากรณีใดควรเป็น “ค่าเริ่มต้น” ของบริการ
 

การที่คนมีความเฉื่อยแปลว่า การให้คนเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยอัตโนมัติ (คือถ้าใครไม่อยากเป็นสมาชิกต้องขอลาออก) จะช่วยสร้างหลักประกันว่าคนจะมีเงินออมได้ดีกว่าถ้าให้พวกเขาลงมือสมัครเป็นสมาชิกเอง (แบบที่ทำอยู่ในไทย)
 

ข้อบกพร่องโดยธรรมชาติของมนุษย์ประการที่สองคือ “ความรังเกียจการสูญเสีย” หมายถึงความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้ของเราเวลาที่ “เสีย” อะไรไป ถึงแม้ว่าเราจะได้มันมาฟรีๆ ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยู่ดีๆ มีคนมาให้เงินเราฟรีๆ 2,000 บาท แล้วหลังจากนั้นยึดคืนไป 1,500 บาท เราจะรู้สึกแย่กว่าถ้าหากเขาให้เงินเรา 500 บาท ทั้งที่เราลงเอยด้วยเงินเท่ากันทั้งสองกรณี คือ 500 บาท งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้มีแต่ในมนุษย์เท่านั้น แต่สัตว์ที่เป็นญาติสนิทของมนุษย์อย่างลิงก็มีความรู้สึกนี้เช่นกัน แสดงว่าความรังเกียจการสูญเสียเป็นข้อบกพร่องใน “สันดาน” ของเราเลยทีเดียว
 

ความหมายของข้อบกพร่องนี้ต่อพฤติกรรมการออมเงินคือ ธรรมชาติของเรามองว่าการออมคือการสูญเสีย เพราะการกันเงินจำนวนหนึ่งไว้สำหรับอนาคตเท่ากับต้องลดรายจ่ายในปัจจุบัน เมื่อสมองของเราตั้งสมการ ออม=สูญเสีย การออมจึงเป็นเรื่องที่ทำยากมาก
 

ข้อบกพร่องโดยธรรมชาติข้อสำคัญอีกข้อที่นักการเงินพฤติกรรมค้นพบคือ “อาการสายตาสั้น” (นักเศรษฐศาสตร์บางคนเรียกว่า “อคติชอบปัจจุบัน” หรือ present bias) เป็นภาวะที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะเราทุกคนคุ้นเคยดีกับความรู้สึกที่ว่า การทำอะไรที่ต้องเสียสละความสุขในวันนี้เพื่อความสุขในวันหน้า เช่น การลดน้ำหนัก ช่างเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจและยากเย็นแสนเข็ญ การออมก็เช่นกัน - เรารู้ดีว่าการออมนั้นดีกับตัวเราในอนาคต แต่วันนี้ขอใช้เงินก่อนเถอะ ไว้ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ แน่นอนว่าเมื่อคิดอย่างนี้แล้ว “ปีหน้า” ก็ไม่เคยมาถึงเลย
 

ในเมื่อคนเรามีความเฉื่อย รังเกียจการสูญเสีย และสายตาสั้น นั่นแปลว่าวินัยการออมเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความอดทนและอุตสาหะส่วนตัว หรืออุบายแยบยลที่อาศัยทุนวัฒนธรรมมาหลอกล่อ แบบที่พระอาจารย์สุบิน ปณีโต ทำเท่านั้นใช่หรือไม่
 

คำตอบคือไม่เสมอไป อุบายหนึ่งที่ใช้ได้ดีมากสำหรับการกระตุ้นให้มนุษย์เงินเดือนสะสมเงินออมได้ คือโครงการ “ออมเพิ่มในวันพรุ่ง” (Save More Tomorrow) คิดค้นโดยนักการเงินพฤติกรรมแนวหน้าของโลกสองคน คือ ชโลโม เบนาร์ทซี กับ ริชาร์ด เธเลอร์
 

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มเงินออมของมนุษย์เงินเดือน แต่ปัจจุบันยังถูกบรรจุอยู่ในกฎหมายคุ้มครองบำนาญของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่าร้อยละ 60 ยังดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง ในฐานะหัวใจของสวัสดิการพนักงาน
 

โครงการออมเพิ่มในวันพรุ่งนำข้อค้นพบหลักของการเงินพฤติกรรมมาใช้อย่างทรงพลัง
 

ในเมื่อคนมีความเฉื่อย โครงการจึงกำหนดให้พนักงานทุกคนเป็นสมาชิกของโครงการโดยอัตโนมัติ ถ้าอยากออกต้องลาออก (opt-out) ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงสามารถออมได้ในฐานะสมาชิก เพราะขี้เกียจลาออก
 

ในส่วนของการแก้ปัญหาสายตาสั้นและความรังเกียจการสูญเสีย โครงการนี้แก้ปัญหาด้วยการสัญญาว่าจะเพิ่มอัตราการออมในอนาคตก็ต่อเมื่อพนักงานได้ขึ้นเงินเดือน จนถึงระดับสูงสุดที่ตกลงกัน (เช่น 10% ของเงินเดือน) ดังนั้นพนักงานจึงไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะโครงการจะออมให้ในอนาคตเท่านั้น และจะหักเงินเฉพาะจากรายได้ “ส่วนเพิ่ม” ทำให้ไม่รู้สึกว่าต้องลดรายจ่ายในวันนี้เพื่อชดเชยเงินออมในวันพรุ่ง
 

“ออมเพิ่มในวันพรุ่ง” ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยเฉลี่ยสมาชิกของโครงการออมเงินได้มากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกว่า 2 เท่าตัว เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี พนักงานชอบมากเพราะรู้สึกว่าพอได้ขึ้นเงินเดือน พวกเขาไม่ต้องลดค่าใช้จ่าย (ระดับปัจจุบัน) เพราะมีเงินใช้มากขึ้นอยู่แล้วจากเงินเดือนส่วนเพิ่ม หลังจากที่บริษัทโอนส่วนเพิ่มบางส่วนเข้าบัญชีสำรองเลี้ยงชีพ
 

เบนาร์ทซีเล่าในสุนทรพจน์ที่งาน TEDTalk เดือนพฤศจิกายน 2011 ตอนหนึ่งว่า
 

"ครั้งแรกที่เราลงมือทำ [โครงการนี้] ริชาร์ด เธเลอร์ กับผม ทำในปี 1998 ให้กับบริษัทขนาดกลางในภาคตะวันตกตอนกลาง [ของอเมริกา] คนงานระดับล่างดิ้นรนหมุนเงินเดือนชนเดือน พวกเขาย้ำกับเราว่า ออมมากกว่าเก่าทันทีไม่ได้เลย ให้ออมเพิ่มวันนี้ไม่มีทาง เราเชิญให้พวกเขา [ยอมอนุญาตให้บริษัทโอนเงิน] ออมมากกว่าเดิม 3 เปอร์เซ็นต์ ทุกครั้งที่ได้ขึ้นเงินเดือน และนี่คือผลลัพธ์ครับ ในช่วงเวลาสามปีครึ่งมีการขึ้นเงินเดือนสี่ครั้ง คนที่ดิ้นรนอยากออมได้ออม 3 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ถัดมาสามปีครึ่ง พวกเขาออมได้มากกว่าเดิมสี่เท่า คือเกือบ 14 เปอร์เซ็นต์"
 

“สิ่งที่ ริชาร์ด เธเลอร์ กับผม รู้สึกอัศจรรย์ใจเสมอมา คือการ [ที่เราสามารถ] ทำให้การเงินเชิงพฤติกรรมเป็นการเงินเชิงพฤติกรรมโฉมใหม่ หรือ การเงินเชิงพฤติกรรม 2.0 หรือการเงินเชิงพฤติกรรมภาคปฏิบัติ - เราพลิกอุปสรรคให้เป็นวิธีแก้ปัญหา”


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : อุบายสร้างวินัยการออม การเงินพฤติกรรม 2.0

view