จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้รับอนุญาตให้พูดจาไม่จริงได้ในบางเรื่องในทางสากลก็รู้ว่าลักษณะแบบนี้เรียกว่า white lies
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ "โรดแมพสู่อนาคตประเทศไทย" วานนี้ (23 ส.ค.) โดยยอมรับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายไว้สูง เพราะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจได้รับอนุญาตให้ "พูดไม่จริงได้บางเรื่อง" เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงระยะเวลาที่มีปัญหาการขาดดุลการค้า และดุลภาคบริการเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักเพื่อทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นมาเป็นเวลา 14-15 ปี โดยรัฐบาลชุดนี้เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับสมดุลเศรษฐกิจของประเทศลดการพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลงและพึ่งพาการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศให้มากขึ้น

แต่ประเทศไทยมีปัญหาที่สะสมและต้องแก้ไข ได้แก่ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐล่าช้า การบริโภคภายในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันทั้งภาครัฐและภาค

เอกชนซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลและทุกฝ่ายต้องเร่งดำเนินการแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการเติบโตของเศรษฐกิจ
ปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาเป็นสาเหตุที่ในอดีตเอกชนของไทยที่ต้องการเติบโตต้องไปลงทุนภายนอกประเทศมากกว่าลงทุนในประเทศ ขณะที่ปัจจุบันการลงทุนภาคเอกชนในประเทศช่วงครึ่งปีแรกนี้ ขยายตัวมากกว่า 10% ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

กรณี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขการส่งออกออกมาว่าจะขยายตัวได้เพียง 7.3% ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมาก เพราะเห็น

สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะกระทบการส่งออกไทยมาตั้งแต่ต้นปี แต่แม้เป้าหมายในการส่งออกจะลดลง ตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) สศช.ก็ยังคงประมาณการไว้ที่ 5.5 - 6% ซึ่งใกล้เคียงกับที่รัฐบาลประเมิน

แต่สิ่งสำคัญก็คือในอดีตหากการส่งออกขยายตัวเพียง 7.3% จีดีพีอาจจะขยายตัวไม่ถึง 5% แต่ที่ สศช.ยังคงตัวเลขที่จีดีพีจะขยายตัวไว้สูงกว่า 5% นั่นจะสะท้อนให้เห็นว่าสมดุลทางเศรษฐกิจของไทยระหว่างการพึ่งพาการส่งออกและพึ่งพาการเติบโตภายในประเทศได้เกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง

"ในฐานะที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้รับอนุญาตให้พูดจาไม่จริงได้ในบางเรื่องในทางสากลก็รู้ว่าลักษณะแบบนี้เรียกว่า white lies  ที่จริงแล้วการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณให้เห็นมาตั้งแต่ต้นปี แต่สถานการณ์ในช่วงนั้นไม่เหมาะสมที่จะตั้งเป้าหมายไปในทางที่ไม่ดี ผมจึงตั้งเป้าในการทำงานไว้ให้สูงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ"

รัฐบาลมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังสามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ได้ โดยรัฐบาลจะพยายามผลักดันการส่งออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้เร็วจะต้องมีความโปร่งใส โดยขณะนี้ได้ให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ทำหนังสือเวียนถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ว่าขณะนี้ให้เริ่มขบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในโครงการที่จะเกิดขึ้นระหว่างเดือน ต.ค.-ธ.ค.ปีนี้ได้เลย และเมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ 2556 ประกาศใช้ ก็ให้สามารถ

ดำเนินการเบิกจ่ายได้เลย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่มีความล่าช้าอยู่ประมาณ 28% ของงบประมาณทั้งหมดให้รวดเร็วยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

"การสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของไทย เราต้องเน้นไปที่การสร้างเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ ในอนาคตการส่งออกอาจจะไม่ได้เติบโตเกิน 10% เหมือนในอดีต แต่ก็มีส่วนอื่นๆ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นมาช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว เช่นการเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว การใช้จ่ายภายในประเทศตามกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ซึ่งการกระจายตัวในการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบนี้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของประเทศไทย"

สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน