สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นพดล อ้างแถลงการณ์ร่วมฯ ทำเพื่อปกป้องพื้นที่ ไม่ใช่ยก 4.6 ตร.กม.ให้เขมร

นพดล” อ้างแถลงการณ์ร่วมฯ ทำเพื่อปกป้องพื้นที่ ไม่ใช่ยก 4.6 ตร.กม.ให้เขมร

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

“นพดล” โผล่แจงแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ตัวเองทำสมัยคุมบัวแก้ว ไม่ได้เป็นการยกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้เขมร อ้างเป็นการปกป้องดินแดนไม่ให้กัมพูชาฮุบ บอกถ้ายกให้จริงทำไมเขมรต้องไปฟ้องศาลโลกเพื่อเอาพื้นที่ให้ได้ โวทนายความไทยเห็นเป็นประโยชน์จึงได้นำไปเป็นข้อมูลในการสู้คดี

      นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความชี้แจงข้อกล่าวหากรณีแถลงการณ์ร่วมฯ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Noppadon Pattama โดยปฏิเสธว่า คำแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ตัวเองทำกับกัมพูชาสมัยเป็น รมว.ต่างประเทศ จนถูกกล่าวหาเป็นการยกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชานั้นเป็นความเท็จ
       
       “ผมอ่านแล้วสลดใจในความเท็จที่สื่อนี้ขยันเขียน ขอเรียนว่าเป็นความเท็จครับ คำแถลงการณ์ร่วมทำขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้กัมพูชาได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกครับ ไม่ใช่เป็นการยอมให้เขาได้พื้นที่ไป นี่คือข้อเท็จจริงครับ”
       
       นายนพดล อ้างด้วยว่า หากกัมพูชาได้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามคำแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวแล้ว จะมายื่นตีความต่อศาลโลกเพื่อให้ได้พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเพื่ออะไร
       
       “ทุกคนเห็นตรงกันว่า กัมพูชาต้องการเอาทั้งตัวปราสาท และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว และนี่เป็นปัญหาที่ทุกรัฐบาลไม่ยอม และคัดค้านไม่ให้ฮุบพื้นที่ทับซ้อนครับ”
       
       นายนพดล ระบุที่ผ่านมา รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น เพื่อให้เขายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไม่เอาไปขึ้นทะเบียน เราไม่เคยสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อน เพราะเป็นพื้นที่ของเรา เพราะข้อเท็จจริงคือ ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกมา 51 ปีแล้ว
       
       “ปชป. และพันธมิตรฯ โจมตีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ทีมทนายความของไทยในศาลโลกในขณะนี้เห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ใน การต่อสู้คดี ท่านจะเชื่อใครครับ”
       
       นายนพดล กล่าวว่า ตนเองได้พูดหลายครั้งแล้วว่า ถ้าคำแถลงการณ์ร่วมมีผลเสียต่อฝ่ายไทย ทำไมข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และ ครม.สมัยรัฐบาลสมัคร เห็นว่าเป็นประโยชน์ และเห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย แต่ถ้าไม่มีคำแถลงการณ์ร่วม กัมพูชาเอาพื้นที่ 4.6 ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว แต่เพราะเอกสารชิ้นนี้กัมพูชาจึงยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น


นพดลยันแถลงร่วมฯกันเขมรยึดพื้นที่ทับซ้อน

จาก โพสต์ทูเดย์

นพดลโพสต์เฟซบุ๊คยืนยันแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เขมรยึดพื้นที่ทับซ้อน เป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้คดีพระวิหาร

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โพสต์ข้อความชี้แจงข้อกล่าวหากรณีแถลงการณ์ร่วมฯ ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว Noppadon Pattama ปฏิเสธว่า คำแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการยกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชานั้นเป็นความเท็จ
         
"ผมอ่านแล้วสลด ใจในความเท็จที่สื่อนี้ขยันเขียน ขอเรียนว่าเป็นความเท็จครับ คำแถลงการณ์ร่วมทำขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้กัมพูชาได้พื้นที่ทับซ้อน4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกครับ ไม่ใช่เป็นการยอมให้เขาได้พื้นที่ไป นี่คือข้อเท็จจริงครับ" นายนพดล ระบุ
         
หากกัมพูชาได้ พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกตามคำแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าวแล้วจะมายื่นตีความต่อศาลโลกเพื่อให้ได้พื้นที่โดยรอบปราสาทพระ วิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเพื่ออะไร
         
"ทุกคนเห็นตรงกันว่า กัมพูชาต้องการเอาทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวและนี่เป็นปัญหาที่ทุกรัฐบาลไม่ ยอมและคัดค้านไม่ให้ฮุบพื้นที่ทับซ้อนครับ" นายนพดล ระบุ
         
ที่ ผ่านมารัฐบาลสมัครสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น เพื่อให้เขายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไม่เอาไปขึ้นทะเบียน เราไม่เคยสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อน เพราะเป็นพื้นที่ของเรา เพราะข้อเท็จจริงคือ ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกมา 51 ปีแล้ว
         
"ปชป และพันธมิตรฯ โจมตีคำแถลงการณ์ร่วม แต่ทีมทนายความของไทยในศาลโลกในขณะนี้เห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ใน การต่อสู้คดี ท่านจะเชื่อใครครับ" นายนพดล กล่าว
         
นายนพดล กล่าวว่า ตนเองได้พูดหลายครั้งแล้วว่าถ้าคำแถลงการณ์ร่วมมีผลเสียต่อฝ่ายไทย ทำไมข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และครม.สมัยรัฐบาลสมัครเห็นว่าเป็นประโยชน์และเห็นชอบร่วมกันทุกฝ่าย แต่ถ้าไม่มีคำแถลงการณ์ร่วม กัมพูชาเอาพื้นที่ 4.6 ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว แต่เพราะเอกสารชิ้นนี้กัมพูชาจึงยอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น
         
"ท่านทูตวีรชัย และศาสตราจารย์เปลเล่ ทนายของไทยชาวฝรั่งเศส ก็กล่าวแถลงด้วยว่าจาต่อศาลโลก ถึงผลลัพธ์ของคำแถลงการณ์ร่วม ว่ากัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น (ไม่รวมชะง่อนเขาที่มีพื้นที่กว้าง ถ้ำ หน้าผา)...ไม่มีตอนไหนเลยครับที่ทนายของกัมพูชาเขาอ้างว่าเขาได้ 4.6 ตารางกิโลเมตรไปตามคำแถลงการณ์ร่วม เขาเพียงลำดับเหตุการณ์ว่ารัฐบาลไทยเคยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท แต่เราไม่เคยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อนครับ" นายนพดล ระบุ



พื้นที่ 4.6 ตร.กม. แถลงการณ์ไทย-กัมพูชา 2551 ชนวนศึกปราสาทพระวิหาร 2556

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ระหว่างการแถลงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในคดีที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 ของตัวแทนฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา กรณีการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา โดยพ่วงเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยเข้าไปด้วย ถูกพูดถึงบ่อยครั้งจากตัวแทนฝ่ายไทยว่าเป็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้กัมพูชานำ คดีขึ้นสู่ศาลโลก เพราะต้องการเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้ไปเป็นของตน
       
       ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ศาลโลกมีคำพิพกาษาเมื่อปี 2505 ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา กัมพูชาก็ยอมรับมาโดยตลอด ไม่มีปัญหาต้องตีความว่าพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทคือตรงไหน เพิ่งจะมาเปลียนท่าทีไม่ยอมรับเมื่อต้องการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดก โลกฝ่ายเดียวในปี 2551 โดยเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยไปด้ว ย แต่ไม่สำเร็จ เพราะประชาชนไทยนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชิปไตยคัดค้าน และรัฐบาลไทยยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2553 จนทำให้แผนการของกัมพูชาค้างเติ่งมาจนถึงปัจจุบัน
       
       นายวีชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยในการสู้คดี กล่าวถึงเรืองนี้ว่า
       
       เป็นเวลา 50 ปี จนถึงก่อนหน้าปี 2000 กัมพูชาไม่เคยประท้วง ต้นปี 2000 กัมพูชาเริ่มรุกเข้ามาในแผ่นดินไทย ทำให้เกิดปัญหาด้านเสถียรภาพ จุดประสงค์ที่แท้จริงของกัมพูชาในการรุกรานไทย ก็คือ การต้องการดินแดนเพื่อนำไปใช้ขึ้นทะเบียนโครงการมรดกโลก
       
       อลินา มิรอง ทนายหญิงชาวโรมาเนีย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมทนายฝ่ายไทย พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า แผนที่ที่กัมพูชายื่นต่อศาลโลกครั้งนี้ที่อ้างว่าเป็น annex 1 ในคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 เป็นของปลอม เป็นแผนที่ที่กัมพูชาทำขึ้นเอง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบๆปราสาทพระวิหาร
       
       เอกสารของกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสรุปสาระสำคัญของคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของฝ่ายไทยและ กัมพูชา ในข้อที่ 2 เรื่องข้อสังเกตเป็นลายลักษณ์ อักษรของไทย ข้อ 2.1.4 ระบุว่า
       
       การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ( เอ็มโอยู) ปี 2543 ซึ่งไม่มีการอ้างถึงคำพิพากษาปี 2505 จึงเป็นการบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า คำพิพากษาไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตแดน แต่ต่อมากัมพูชาได้ละทิ้งท่าทีดังกล่าว รวมทั้งท่าทีที่กัมพูชายึดถือมาตั้งแต่ปี 2505 ว่า ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505 แล้ว เนื่องจากกัมพูชาต้องการพื้นที่เพิ่มเติมสำหรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระ วิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชา
       
       นี่ขนาดเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีรัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นขี้ข้าทักษิณแต่ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่อาจหลีกเลี่ยงปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่า แรงจูงใจของกัมพุชาในการลากไทยขึ้นสู่ศาลโลกรอบนี้ คือ ต้องการพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยนั่นเอง
       
       เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวของกัมพูชานี้ เป็นหนามยอกอก เป็นแค้นฝังใจของฮุนเซนที่มีต่อคนไทย เพราะอ้อยเข้าปากช้างไปแล้วแต่ต้องคายออกมาอย่างน่าเสียดาย
       
       คงจำกันได้ว่า รัฐบาลพรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี มีนายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียว โดยยกพื้นที่รอบๆ 4.6 ตารางกิโลเมตรให้ไปด้วย ตามแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาที่ลงนามโดยนายนพดล กับนายซกอาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551
       
       กัมพูชาได้อ้างแถลงการณ์ฉบับนี้ว่าไทยไม่คัดค้าน จนได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียวได้
       
       ทั้งๆ ที่ ต้นปี 2551 สภากลาโหมมีมติคัดค้านการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว เพราะทำให้ไทยเสียดินแดน แต่รัฐบาลหุ่นเชิดของทักษิณในขณะนั้นก็ไม่ฟัง และหลังจากนายนพดลลงนามในแถลงการณ์แล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ชุมชุนมคักดค้านเรียกร้องให้นายนพดลลาออก พร้อมทั้งยื่นเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัยว่า แถลงการณ์นี้ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 หรือไม่ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ระงับแถลงการณ์นี้ไว้ก่อน
       
       ในขณะที่กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา 77 คน ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งในวันที่ 8 ก.ค.2551 วันเดียวกับที่คณะกรรมการมรดกโลกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 190 วรรคสอง ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แถลงการณ์นี้จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นโมฆะ และต่อมานายนพดลต้องลาออกจากตำแหน่ง
       
       ฝ่ายกัมพูชา เมื่อไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่นายนพดลยกให้ ก็หันไปใช้วิธีสร้างสถานการณ์ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร มีการยิงจรวดเข้าใส่หมู่บ้านไทยหลายครั้ง ในช่วงต้นปี 2554 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นเหตุให้คนไทยเสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เพราะฮุนเซนต้องการสร้างสถานการณ์ เพื่อนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก ซึ่งต่อมากัมพูชาก็ยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ใหม่
       
       การต่อสู้คดีในศาลโลกระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงมี ต้นเรื่องมาจากการที่นายนพดล ไปยกแผ่นดินไทย 4.6 ตร.กม.ให้กัมพูชาเมื่อปี 2551 นั่นเอง แต่ไม่สำเร็จ เพราะคนไทยไม่ยอม ฮุนเซนจึงต้องใช้ศาลโลกเป็นช่องทางในการที่จะเอาพื้นที่ 4.6 ตร. กม. ของไทยไปครอบครอง


ปชป.ชมทนายไทยสู้คดีพระวิหารเยี่ยม ตอก “ปึ้ง” ไม่ละอายเกาะชายกางเกงดัง

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

โฆษก ปชป.ชื่นชมทีมทนายฝ่ายไทย สู้คดีพระวิหารได้ยอดเยี่ยม พร้อมแนะรัฐบาลเตรียมรับมือคำพิพากษาศาลโลกทุกรูปแบบ หวังข้อมูลใหม่พลิกประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีที่เขมรดัดแปลงแผนที่เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง เหน็บ “ปึ้ง” รกศาลหวังเกาะชายกางเกงทีมทนายดัง จี้ “สุรพงษ์” ย้าย “วีรชัย” กลับมานั่ง เจบีซีไทย-กัมพูชา เหมือนเดิม หลังถูกเด้งโดยไร้เหตุผล

       
       วันนี้(20 เม.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงให้การด้วยวาจาปิดการชี้แจงของฝ่ายไทย ในคดีปราสาทพระวิหาร ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ว่า ขอชื่นชมการทำงานของทีมกฎหมายฝ่ายไทย ตนอยากให้คนไทยติดตามการทำงานของศาลโลก โดยให้ความสำคัญใน ข้อ 60 ของข้อบังคับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ระบุชัดว่า ศาลโลกไม่สามารถขยายคำพิพากษาหรือนำคำพิพากษาเดิมมาตัดสินใหม่ โดยทำได้เพียงการตีความคำพิพากษา ในกรณีที่คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย มีความเห็นต่างกันในเรื่องการตีความคำพิพากษา หรือในบทปฏิบัติการ
       
       และไทยต้องยืนยันว่าไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชา แต่กัมพูชาพยายามยั่วยุ ใช้อาวุธรุกรานไทยมาโดยตลอด โดยหวังให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันเพื่อให้เกิดภาพว่า ไทยรังแกประเทศที่เล็กกว่า และจะนำไปฟ้องในเวทีนานาชาติ ทั้งนี้กัมพูชาเห็นตรงกับไทยในการยอมรับคำสั่งศาลมาเกือบ 50ปี แต่วันนี้กลับไปบอกศาลว่า มีความเห็นไม่ตรงกัน จึงอยากให้ไทยได้ย้ำว่า เป็นเพราะเกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกหรือไม่
       
       นายชวนนท์กล่าวว่า นอกจากนี้หากศาลรับพิจารณาคำพิพากษา ในเนื้อหาสาระที่อยากให้รัฐบาลได้เน้นหนักในการต่อสู้คือ ข้อมูลใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขประวัติศาสตร์ ความเพลี่ยงพล้ำของเราในอดีต เช่น แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร ที่กัมพูชาพยายามกล่าวอ้าง แต่ทีมทนายของไทยระบุชัดว่าแผนที่ดังกล่าวของกัมพูชาไม่ได้มีฉบับเดียว และกัมพูชาเองก็สับสนในการใช้แผนที่ว่า จะใช้ฉบับไหน และยังมีการดัดแปลงลงในแผนที่ฉบับใหม่ จนทำให้เส้นเขตแดนเปลี่ยนแปลง
       
       ทั้งนี้ ประเด็นที่เราจะต้องเอาชนะกัมพูชาก็คือ ไทยกับกัมพูชาต้องกลับมาทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนโดยใช้เอ็มโอยู 43 ซึ่งเป็นกระบวนการที่ครบ เมื่อเราตีแผนที่ของกัมพูชาตกไปแล้ว ก็ยืนยันว่าด้วยเหตุผลที่แผนที่ตกไปกัมพูชากับไทยจึงต้องกลับมาปักปันเขตแดน กัน ทั้งนี้รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับคำพิพากษาทุกรูปแบบ อยากให้รัฐบาลคิดตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่เริ่มคิดเมื่อคำตัดสินออกมาแล้ว หรือให้ทีมทนายความคิดให้ทั้งหมด
       
       ส่วนที่รัฐบาล เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ พยายามพูดว่า หากไทยแพ้คดีพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นผู้แต่งตั้งนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ และทีมทนายความนั้น นายชวนนท์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ แต่กลับเห็นความกลับกลอกของคนในรัฐบาล ที่เมื่อเห็นว่าทีมทนายความทำงานดีก็สวมรอยเอาเป็นผลงาน ซึ่งคนทั้งประเทศรู้ดีว่าเป็นผลงานของทีมทนายความไทย เพราะคนของรัฐบาล 3 คนที่ไปนั่งเกะกะในศาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร
       
       “แต่ที่น่าอายคือ พอเห็นทีมทนายความทำงานดีก็เอามาอวดอ้างเป็นผลงานตัวเอง เกาะชายกางเกงเขาดังซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายใจ แต่ก็ทำให้เห็นได้ว่าคนที่ตั้งใจดูแล ปกป้องผลประโยชน์ประเทศจะมีความคงเส้นคงวาขณะที่คนหวังได้ชื่อเสียงไม่ยึดผล ประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้งนั้นก็จะมีพฤติกรรมกลับกลอก หลอกลวง เหมือนหลายคนในรัฐบาลชุดนี้”
       
       นายชวนนท์กล่าวว่า คนที่นายสุรพงษ์บอกว่าเป็นวีรบุรุษนั้น นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เคยย้ายไปแขวนในตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวง โดยอ้างว่าเป็นความก้าวหน้า ซึ่งนายสุรพงษ์ควรมีความละอายใจ ที่ได้ย้าย นายวีรชัยออกจากการเป็นคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี จึงอยากให้ประชาชนคิดว่าคนอย่าง นายวีรชัย ควรที่จะอยู่ในเจบีซีหรือไม่ เพราะจะมีกี่คนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่านายวีรชัย จึงอยากถามนายสุรพงษ์ว่าย้ายนายวีรชัยออกจากเจบีซีทำไม และขอเรียกร้องให้นายสุรพงษ์ แต่งตั้งนายวีรชัย เข้าเป็นเจบีซีเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ”


'ปชป.'ชื่นชมทีมทนายไทย

"ปชป." ชื่นชม "ทีมทนายไทย" มีข้อมูลหักล้างข้ออ้างเขมร ปี 05 ได้ แนะรัฐบาลเตรียมคาดการณ์คำพิพากษา ประเมินผลตัดสิน หวั่นออกมาหลายรูปแบบ

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการแถลงด้วยวาจาของทีมสู้คดีปราสาทพระวิหารของไทย เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2556 ที่ผ่านมาว่า ขอชื่นชมการทำงานของนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะผู้นำคณะฝ่ายไทย และฝ่ายกฎหมายของไทยอีก 3 ท่าน โดยเฉพาะ น.ส.อลินา มิรอง ทนายฝ่ายไทย ที่ได้ค้นคว้าเรื่องแผนที่จนทำให้ไทยสามารถหักล้างคำกล่าวหาของกัมพูชา ที่ได้กล่าวอ้างมาตั้งแต่ปี2505 จึงอยากให้คนไทยได้ศึกษาทำความเข้าใจในประเด็นปราสาทพระวิหาร ตามที่ทีมทนายความของไทยได้ใช้เป็นอาวุธในการตอบโต้กัมพูชา

นายชวนนท์ กล่าวว่า อยากให้ติดตามการทำงานของศาลโลก โดยมีหลักการที่ต้องให้ความสำคัญคือ ข้อ 60 ของข้อบังคับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ระบุชัดว่าศาลโลกไม่สามารถขยายคำพิพากษาหรือนำคำพิพากษาเดิมมาตัดสินใหม่ หรือเพิ่ม ขยายขอบเขต ของความหมายที่ตีความแล้ว แต่สิ่งที่ศาลทำได้อย่างเดียวคือ เรื่องการตีความคำพิพากษา ซึ่งการจะตีความคำพิพากษาได้นั้น คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ต้องมีความเห็นต่างกันในเรื่องการตีความคำพิพากษา หรือในบทปฏิบัติการ ซึ่งไทยต้องยืนยันว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานกัมพูชา แต่ตรงกันข้ามคือ กัมพูชาพยายามยั่วยุใช้อาวุธรุกรานไทยมาโดยตลอด

โดยกัมพูชาหวังที่จะให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดน เพื่อให้เกิดภาพว่าไทยรังแกประเทศที่เล็กกว่า และเพื่อนำเรื่องนี้ไปฟ้องในเวทีนานาชาติ และการที่กัมพูชาเห็นตรงกับไทย และยอมรับคำสั่งศาล มาตลอดเกือบ 50ปี วันนี้กัมพูชากลับเดินขึ้นไปบอกศาลว่า มีความเห็นไม่ตรงกัน จึงอยากให้ไทยได้ย้ำว่า เป็นเพราะเกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกใช่หรือไม่

นายชวนนท์ กล่าวว่า หากศาลรับพิจารณาคำพิพากษา ในเนื้อหาสาระที่อยากให้รัฐบาลได้เน้นหนักในการต่อสู้คือข้อมูลใหม่ โดยเฉพาะสิ่งที่ทีมทนายความได้นำมาเปิดเผย ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์มาในการแก้ไขประวัติศาสตร์ ความเพรี้ยงพร้ำของเราในอดีต อย่างที่ น.ส.อลินา ได้พูดถึงเรื่องแผนที่ 1:200,000 ตารางกิโลเมตรที่กัมพูชาพยายามกล่าวอ้าง

โดยระบุว่าแผนที่ดังกล่าวของกัมพูชาไม่ได้มีฉบับเดียว และกัมพูชาเองก็สับสนในการใช้แผนที่ ว่าจะใช้ฉบับไหน อย่างไร และน.ส.อลินา ยังได้เปิดเผยหลักฐานต่อว่า กัมพูชาได้นำแผนที่ฉบับนั้นไปดัดแปลงลงในแผนที่ฉบับใหม่ จนทำให้เส้นเขตแดนเปลี่ยนแปลง รวมทั้งประเด็นที่กัมพูชาพยายามกล่าวอ้างว่า พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั้น เป็นอาณาเขตที่ไปชนเส้นเขตแดนเลยหรือไม่ เพราะกัมพูชาต้องการฮุบแผนที่ทั้งหมด ซึ่งเราก็ต้องยืนยันว่าอาณาเขตของปราสาทพระวิหาร ไม่สามารถจะไปชนกับเส้นเขตแดนได้ เพราะอาณาเขตมีเท่าที่มี

“จึงเป็นสิ่งที่ไทยต้องยืนยันว่าคำขอของกัมพูชา เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เพราะไม่อย่างนั้นผมก็บอกได้ว่าวัดที่เชียงใหม่มีอาณาเขตถึงแม่สาย หรือวัดที่กาญจนบุรีมีขอบเขตชนชายแดนไทย-พม่า เราต้องยืนยันว่าคำขอของกัมพูชาใช้ไม่ได้ และประเด็นที่เราจะต้องเอาชนะกัมพูชาก็คือ ไทยกับกัมพูชาต้องกลับมาทำหลักเขตแดนให้ชัดเจนโดยใช้เอ็มโอยู 43 ซึ่งเป็นกระบวนการที่ครบ เมื่อเราตีแผนที่ของกัมพูชาตกไปแล้ว ก็ยืนยันว่าด้วยเหตุผลที่แผนที่ตกไปกัมพูชากับไทยจึงต้องกลับมาปักปันเขตแดนกัน” นายชวนนท์ กล่าว


“วีระ สมความคิด” ชี้ รบ.นิ่งอาจทำบ้านหนองจานถูกยึดปิดปากซ้ำรอยเขาวิหาร

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

“วีระ” เผยเขมรยัดเยียดคุก ตามแผนที่ 1:200,000 ใน MOU43 หวั่นบ้านหนองจานถูกยึดซ้ำรอยเขาวิหาร หลัง รบ.นิ่งดูดายปล่อยเขมรยึดไร่นาชาวบ้าน ระบุ รบ.เขมร จับมือสื่อประโคมข่าว ใส่ร้ายไทยแย่งปราสาทยุชาวบ้านเกลียด กร้าวบอกไทยยอมรับความพ่ายแพ้ เพื่อให้ประเทศทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่าเป็นฝ่ายก่อสงคราม
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 เม.ย. ทีมงานของนายวีระ สมความคิด โพสต์ข้อความสงในเฟซบุ๊ก Veera Somkwamkid ถึงกรณีน้องชายของนายวีระ สมความคิด เดินทางไปเยี่ยมพี่ชาย ซึ่งยังถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชาว่า
       
       “น้องชายคุณวีระได้เล่ารายละเอียดการแถลงด้วยวาจาในศาลโลกที่สำคัญ ให้คุณวีระได้รับทราบข้อมูล ซึ่งคุณวีระก็พอได้ทราบข้อมูลอยู่บ้างจากนักโทษเล่าให้ฟัง โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นด้วย ตอนหนึ่ง คุณวีระได้พูดถึงว่า เมื่อเกือบ 2 ปีกว่านั้น ที่ถูกจับบริเวณบ้านหนองจาน ประเทศไทยแล้วถูกนำตัวไปขึ้นศาลชั้นต้นในวันที่ 1 ก.พ. 2554 อัยการ พยาน ศาลก็อ้างถึงแผนที่ 1 : 200,000 ที่กล่าวถึงใน MOU 2543 ในการตัดสินโทษจำคุก โดยอ้างว่าคนไทยทั้ง 7 คนเข้าพื้นที่กัมพูชา ตามแผนที่ 1 : 200,000 ที่กล่าวถึงใน MOU 2543
       
       หนำซ้ำยังมีพยานปากสำคัญเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ตลอดจนข้าราชการทั้งการเมืองบางคน ข้าราชการประจำสำคัญๆ บางคนของไทยย้ำว่า คนไทยทั้ง 7 อยู่ในเขตแดนกัมพูชา คนไทยส่วนใหญ่คงไม่คิดว่าแผนที่ 1 : 200,000 จะสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยมากขนาดนี้
       
       และน่าเชื่อว่า กัมพูชาได้เตรียมการมาเป็นเวลานานนับสิบปี จะเห็นได้จากการที่ กัมพูชาใช้แผนที่ 1 : 200,000 รุกรานแผ่นดินไทยตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันยังปรากฏการรุกรานเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน ชุมชน ยึดที่ดิน ผืนนาของชาวบ้านคนไทยตลอดแนวชายแดน และรัฐบาลไทยก็ไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลย อย่างนี้เกรงว่าจะถูกหยิบยกไปเป็นกฎหมายปิดปากอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้
       
       นอกจากนั้น ยังเห็นความแตกต่างระหว่างกัมพูชากับไทยได้ชัดเจนก็คือ สื่อมวลชนกัมพูชาร่วมมือกันเผยแพร่ข้อมูล โดยกล่าวหาว่า การที่ต้องไปฟ้องศาลโลกครั้งนี้เนื่องจากไทยจะมาแย่งเอาปราสาทพระวิหารทั้ง ที่ศาลโลกได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2505 ทำให้คนกัมพูชาเข้าใจว่าคนไทยชอบหาเรื่องรังแกกัมพูชาไม่ยอมเลิก สื่อของกัมพูชายังประโคมข่าวว่า กัมพูชาจะเป็นผู้ชนะคดีครั้งนี้แน่นอน และบอกว่าขอให้ไทยยอมรับความพ่ายแพ้โดยดี เพื่อให้ประเทศทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่าเป็นฝ่ายก่อสงคราม
       
       ผู้โพสต์กล่าวว่า “ดิฉันไม่หนักใจมากนักกับฝีมือ ข้อมูล และการต่อสู้ของทีมกฎหมายไทยในศาลโลกกับทีมทนายกัมพูชา แต่หนักใจปัญหาภายในของประเทศเรามากกว่า เพราะเกือบ 2 เดือนก่อนวันแถลงการของทั้ง 2 ประเทศ เดินทางไปเยี่ยมคุณวีระทุกศุกร์ พบว่า คนกัมพูชาร่วมแรงใจของคนในชาติกัมพูชา ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน (ช่วงเกิดกรณีพิพาทกับไทยในปี 54 สม รังสีมีจดหมายถึงรัฐบาล กพช. สนับสนุนการต่อสู้ในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา) ประชาชน สื่อมวลชน นักธุรกิจ (เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนดิฉันนำการโฆษณาของ บ.เบียร์ที่สนับสนุนและร่วมฉลองให้กัมพูชาชนะคดีในศาลโลก) แต่ประเทศไทยรัฐบาลก็ไม่กล้าออกมายืนยันการต่อสู้ว่าจะชนะเต็มตัว ฝ่ายค้านก็คอยจับประเด็นฟอกตัวรายวัน ประชาชนส่วนใหญ่ยังนิ่งเฉย สื่อมวลชนรายงานตามเอกสาร นักธุรกิจก็เงียบฉี่ อย่างนี้ประเทศจะเดินหน้าอย่างไร”


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : วีรชัย พลาศรัย นพดล แถลงการณ์ร่วมฯ ปกป้องพื้นที่ ยก 4.6 ตร.กม. เขมร

view