จากประชาชาติธุรกิจ
"ธาริต"สั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วง
ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีซุก หุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วงกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทแอมเพิลริชฯ "ธาริต" ระบุคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 และมาตรา 247 กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ว่าเป็นการรายงานเท็จ หรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต. ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามล่าสุดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย ว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาตนได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในคดีการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นการกระทำการหรือละเว้นการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการ เข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามมาตรา 246 และ 247 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือคดีซุกหุ้นภาค 2 ก่อนหน้านี้ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) กรณีอันสืบเนื่องมาจากผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 1/2553 ะหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง กับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ผู้ถูกกล่าวหา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งมีคำวินิจฉัยว่าหุ้น SHIN ที่ถือครองอยู่ในชื่อของบุคคลในครอบครัว , บริษัท แอมเพิลริช และบริษัท วินมาร์ค เป็นการถือครองหุ้น SHIN แทนผู้ต้องหาทั้งสอง และจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 ผู้ต้องหาทั้งสองได้โอนหุ้น SHIN ที่ถือครองอยู่ทั้งหมดไปให้บุคคลในครอบครัว และบริษัท แอมเพิลริช โดยได้รายงานต่อ ก.ล.ต. ว่ามีหุ้น SHIN คงเหลือศูนย์หุ้น ซึ่งก.ล.ต. มีความเห็นว่าเป็นการรายงานเท็จหรือไม่ถูกต้อง จึงได้กล่าวโทษว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 246 ต้องระวางโทษตามมาตรา 298 คดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ และจากการวิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าหุ้น SHIN ที่บุคคล ในครอบครัวและบริษัท แอมเพิลริช ถือครองนั้น เป็นการถือแทนผู้ต้องหาทั้งสอง จึงถือได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสองไม่มีการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่าง ใด ผู้ต้องหาทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตามแบบ 246-2 และการรายงานเท็จหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต. ดังกล่าวนั้น ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามตัวบทกฎหมายที่กล่าวโทษมา จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง
ประเด็นที่สั่งไม่ฟ้องดังกล่าวข้างต้น ไม่เกี่ยวข้องกับในส่วนที่ ก.ล.ต. ได้มีการกล่าวโทษผู้ต้องหาทั้งสองอีก ๒ ประเด็น ว่าได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฯ ตามมาตรา 246 และมาตรา 247 ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของคณะพนักงานสืบสวนสอบ สวนคดีพิเศษ หากได้ข้อเท็จจริงประการใดก็จะสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการพิจารณา ต่อไป
ทั้งนี้การพิจารณนาความเห็นดังกล่าวได้ดำเนินการในรูปของคณะ พนักงานสอบสวนและมีพนักงานอัยการ เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย และมีความเห็นในแนวทางเดียวกันเป็นเอกฉันท์ ที่เห็นควรสั่งไม่ฟ้องซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ได้มีคำสั่งเห็นด้วยดังกล่าว
สำหรับคดีซุกหุ้นภาค 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 2542-2543 โดยนอมินีที่ถูกเชิดเปลี่ยนจากคนรับใช้มาเป็นทายาทและเครือญาติ กับบริษัทที่ตั้งขึ้นในชื่อบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด โดยพฤติกรรมการซุกหุ้นภาค 2 พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ซุกหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 คดีซุกหุ้นภาค 2 เคยถูกกลุ่มวุฒิสมาชิกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ช่วงต้นปี 2549 แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าฟ้องครอบคลุม กระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่และกลายเป็นจุดจบทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการขายหุ้นชินคอร์ปฯให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549
ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นชิน
จากประชาชาติธุรกิจ
ธาริต เผย ไม่สั่งฟ้องทักษิณ-พจมาน คดีซุกหุ้นชิน หลังวิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า ผู้ต้องหาทั้งสองไม่มีการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่างใด
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ตามที่ ก.ล.ต. ได้มีหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) กรณีอันสืบเนื่องมาจากผลตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 ระหว่างอัยการสูงสุด ผู้ร้อง กับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ผู้ถูกกล่าวหา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งมีคำวินิจฉัยว่าหุ้น SHIN ที่ถือครองอยู่ในชื่อของบุคคลในครอบครัว , บริษัท แอมเพิลริช และบริษัท วินมาร์ค เป็นการถือครองหุ้น SHIN แทนผู้ต้องหาทั้งสอง และจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 ผู้ต้องหาทั้งสองได้โอนหุ้น SHIN ที่ถือครองอยู่ทั้งหมดไปให้บุคคลในครอบครัว และบริษัท แอมเพิลริช โดยได้รายงานต่อ ก.ล.ต. ว่ามีหุ้น SHIN คงเหลือศูนย์หุ้น ซึ่งก.ล.ต. มีความเห็นว่าเป็นการรายงานเท็จหรือไม่ถูกต้อง จึงได้กล่าวโทษว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2553 ตามมาตรา 246 ต้องระวางโทษตามมาตรา298
คดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ และจากการวิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าหุ้น SHIN ที่บุคคลในครอบครัวและบริษัท แอมเพิลริช ถือครองนั้น เป็นการถือแทนผู้ต้องหาทั้งสอง จึงถือได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสองไม่มีการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่าง ใด ผู้ต้องหาทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตามแบบ 246-2 และการรายงานเท็จหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต. ดังกล่าวนั้น ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามตัวบทกฎหมายที่กล่าวโทษมา จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง
ประเด็นที่สั่งไม่ฟ้องดังกล่าวข้างต้น ไม่เกี่ยวข้องกับในส่วนที่ ก.ล.ต. ได้มีการกล่าวโทษผู้ต้องหาทั้งสองอีก ๒ ประเด็น ว่าได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ตามมาตรา 246 และมาตรา 247 ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของคณะพนักงานสืบสวนสอบ สวนคดีพิเศษ หากได้ข้อเท็จจริงประการใดก็จะสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการพิจารณา ต่อไป
ทั้งนี้การพิจารณนาความเห็นดังกล่าวได้ดำเนินการในรูปของคณะพนักงานสอบ สวนและมีพนักงานอัยการ เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาด้วย และมีความเห็นในแนวทางเดียวกันเป็นเอกฉันท์ ที่เห็นควรสั่งไม่ฟ้องซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ได้มีคำสั่งเห็นด้วยดังกล่าว
ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้อง'ทักษิณ-พจมาน'ซุกหุ้นภาค2
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อธิบดีดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องตระกูลชินวัตรซุกหุ้นภาค 2 เนื่องจาก'แอมเพิลริช'ถือครองแทน แต่ยังไม่หลุดคดีครอบงำกิจการ ถือหุ้นเกิน 25%
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีอสไอ เปิดเผยว่า ตามที่ คณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ตามผลแห่งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเชื่อว่ามีการซุกหุ้น และรายงานเท็จต่อก.ล.ต. จึงกล่าวโทษให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งในคดีนี้ดีเอสไอ ได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมารับผิดชอบ และจากการวิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าหุ้นชินคอร์ปที่บุคคลในครอบครัวและบริษัท แอมเพิลริช ถือครองนั้น เป็นการถือแทนผู้ต้องหาทั้งสอง จึงถือได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสองไม่มีการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่างใด ผู้ต้องหาไม่มีหน้าที่ต้องรายงาน จึงมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองราย
นายธาริต กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับในส่วนที่ ก.ล.ต. ได้มีการกล่าวโทษผู้ต้องหาทั้งสอง ว่าได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามมาตรา 247 คือ บุคคลใดเสนอซื้อหรือกระทำการอื่นใดอันเป็นผลให้ตนได้ มา หรือเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละยี่สิบห้าขึ้นไปของจำนวนหลักทรัพย์ที่ จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ ให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อ ครอบงำกิจการเว้นแต่เป็นการได้มาโดยทางมรดก ซึ่งในความผิดข้อหาดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของคณะพนักงานสอบสวน หากได้ข้อเท็จจริงประการใดก็จะสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการพิจารณาสำนวนต่อไป