สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บทเรียนชีวิต พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม ความสุข การเมือง ความเสื่อม และธรรมาสน์

จากประชาชาติธุรกิจ



"พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม" ผ่านชีวิตมาหมดแล้วทั้งสูงสุดและต่ำสุด

ใน อดีตพระรักเกียรติ "นายรักเกียรติ สุขธนะ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นักการเมืองดาวรุ่งแห่งภาคอีสาน เคยเป็น ส.ส. 7 สมัย รัฐมนตรีอีก 5 สมัย มีบริวารห้อมล้อม ใช้ชีวิตเสพสุขเต็มที่ ทั้งสุรา นารี และการพนัน มีเงิน อู้ฟู่เป็นพันล้าน !

แต่หลังจากเจอคดีทุจริตรับสินบน 5 ล้านบาท ชีวิตอดีตรัฐมนตรีเปลี่ยนไปทันที จากที่เคยสุขสบาย กลายเป็นตกนรกทั้งเป็น เพราะต้องหนีคดี ติดคุก ครอบครัวแตกแยก กระทั่งเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการหันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ

"...สิ่ง ที่ผิดพลาดในชีวิตช่วงเป็นนักการเมือง คืออยากได้อะไรก็ได้ อยากมีอะไรก็มี ใช้ชีวิตสนุกสนาน ประมาท ตกอยู่ในอบายมุข ซึ่งก็มีความสุข (นะ) สุขที่ได้กินเหล้า สุขที่ได้เล่นการพนัน ได้มาเป็นพันล้าน

ยิ่ง ตอนเป็นรัฐมนตรี มีคนห้อมล้อมมากมาย ช่วงรุ่ง ๆ ไปเล่นพนันมาหมดทั่วโลก ที่ลาสเวกัส อังกฤษ มาเก๊า ตอนเล่นได้ เยอะ ๆ มีเงินเป็นพันล้าน ซึ่งเงินที่ ป.ป.ช.ไปตรวจพบตอนเป็นรัฐมนตรี ก็คือเงินส่วนหนึ่งที่เล่นการพนัน"

พระรักเกียรติเล่าว่า ระบบการเมืองสมัยก่อน ๆ หากจะจับนักการเมืองทุจริตต้องมีใบเสร็จ มีหลักฐาน ฉะนั้น เมื่อก่อนจึงไม่ค่อยมีนักการเมืองถูกลงโทษทางอาญา เพราะหาหลักฐานไม่ได้ แต่หลังปฏิรูปการเมืองปี 2540 ก็มี ป.ป.ช. ช่วงนั้นศาลก็ให้โอกาสเรานำพยานหลักฐานไปพิสูจน์ เมื่อสู้ไม่ได้ ศาลก็ลงโทษทั้งคดีแพ่งและอาญา หลวงพ่อโดน 3 คดี คือคดีอาญา โทษจำคุก 15 ปี คดีแพ่ง ยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233 ล้านบาท และห้ามเล่นการเมือง 5 ปี ชีวิตก็เข้าไปอยู่ในคุก

พระรักเกียรติบอกว่า ชีวิตในคุกยากลำบาก เพราะเคยเป็นถึงรัฐมนตรี แต่วันหนึ่งต้องถูกจองจำ ฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำระหว่างอยู่ในคุก ก็คือรักษาชีวิตไม่ให้ตาย และไม่ให้เป็นบ้า !

"...รักษาชีวิตไม่ให้ตาย ก็คือต้องรักษาชีวิตตัวเองไม่ให้ เจ็บป่วย เพราะมีโรคประจำตัวอยู่ คือเบาหวานและความดัน ทำทุกอย่างที่จะไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะมีคนตายในคุกเยอะ ระบบการรักษาไม่ดี"

ส่วนการรักษาตัวเองไม่ ให้บ้า เพราะว่ามันมีความกดดันทั้งภายในคุก เรื่องภายนอก เรื่องครอบครัว เรื่องทรัพย์สิน ชีวิต ไม่ได้ติดคุกอย่างเดียว (นะ) แต่มีคดีแพ่ง ยึดทรัพย์ 233 ล้าน เขาก็ตามยึด ครอบครัวก็แตกแยก คนที่รักกัน บางคนพอเรา ติดคุก เขาก็ไม่สนใจ ไม่เหลียวแล บางคนเราเคยช่วยเหลือ แต่พอเราติดคุก เขาก็ทอดทิ้งเรา

"อยู่ในคุก ก็คิดมาก จิตใจปั่นป่วน ไม่สงบ เขาก็บอกว่า อาจทำให้คนเป็นบ้าได้ ในคุก คนเป็นบ้าเยอะ หลายคนนั่งคุยกับต้นไม้คนเดียว บางคนญาติมาบอกว่า เมียไปมีสามีใหม่ ก็เสียใจร้องไห้ ต้องกินยาระงับประสาท ซึ่งเราก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า"

เรา จึงรักษาจิตใจ โดยเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า ในคุกเ ขามีสอน มีพระเข้าไปสอนปริยัติและปฏิบัติ เราก็ไปเรียนจนได้ นักธรรมโท แล้วก็ปฏิบัติ เริ่มจากสวดมนต์ ทำวัตรเช้า ทำวัดเย็น ทำอย่างนี้ทุกวัน

พระ รักเกียรติเล่าต่อว่า นั่งสมาธิวิปัสสนา เพื่อพัฒนาจิตใจ ซึ่งก็ช่วยได้ ทำให้เรามีจุดเริ่มต้น ได้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าตอนอยู่ในเรือนจำ นักข่าวเคยไปสัมภาษณ์ตอนพ้นโทษ ก็ตอบไปว่า ถ้ารู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้าก่อนหน้านี้ คงไม่ติดคุก แต่วันนี้ เรามารู้จักในคุก ไปสำนึกความผิดตัวเองในคุก นั่งนึกว่า เล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2526 เป็นดาวรุ่งทางการเมืองภาคอีสาน แต่แล้ววันหนึ่ง เราก็พลาด เมื่อพลาด ผลกรรมที่ตามมาก็มหาศาล

ถามพระรักเกียรติว่า จะบวชอีกนานแค่ไหน คำตอบที่ได้รับคือ "...หลวงพ่อตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต"

"จริง ๆ ตั้งใจบวชตั้งแต่อยู่ในคุก แต่คิดว่าจะบวชสัก 30 วัน ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าเราต้องโทษ 15 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษให้ 6 ปี 7 เดือน เราก็ช่วยเหลือราชการกรมราชทัณฑ์ ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ก็เข้าเกณฑ์การพักการลงโทษ"

แต่พอมาบวชได้ครบเดือน ก็ขออนุญาตบวชต่อ เพราะคิดว่าพบทางที่สงบ ความสงบทำให้เกิดปัญญา ตอนเราเคยมีตำแหน่งทางการเมือง เราพบทางแห่งความเสื่อม ชีวิตถูกครอบงำด้วยอบายมุข

เมื่อถามว่า ทำไมจึงไม่หนีไปให้ไกลแสนไกล ?

คำ ตอบคือ "...เคยให้สัมภาษณ์หลังออกจากคุกด้วยว่า ต้องขอบคุณที่เราไม่หนี ถ้าหนี ก็ไม่มีวันนี้ ไม่มีวันได้ถูกปล่อยตัว แต่ตอนศาลตัดสิน ก็หนีอยู่ 1 ปี ชีวิตเป็นทุกข์ ทรมานมาก แต่พอถูกควบคุมตัว กลับรู้สึกโล่งอก

ก่อน หน้านั้นเคยหนี แต่ระหว่างหนี ติดต่อใครไม่ได้เลย ไปไหน คนจำได้หมด แม้แต่ขับรถ จราจรเห็น ยังจำได้ ถามว่า ท่านมาทำไม ออกมาจากคุกทำไม แล้ววันที่ถูกจับ ไปออกกำลังกายที่ สวนสาธารณะ มีคนจำได้ เขาก็ไปบอกตำรวจมาจับ ก็โล่งใจ ชีวิตไม่ต้องหนีแล้ว เหมือนชีวิตได้นับหนึ่งใหม่"

นักข่าวถามหลวงพ่อต่อว่า สมัยก่อน กลโกงของนักการเมือง ทำกันอย่างไรบ้าง

หลวงพ่อนิ่งคิดก่อนเล่าให้ฟังว่า

"...สมัย นั้นใช้เงินสด ใช้วิธีเก็บเงินสดที่บ้าน หรืออาจจะใช้บัญชีคนอื่น แต่มันก็อยู่ที่ว่า เงินนั้นมาจากไหน อย่างหลวงพ่อ เงินทุกส่วนมาจากการเล่นการพนันในต่างประเทศ ฉะนั้น เวลาเงินเข้ามาในบัญชี พอเล่นได้ เขาก็โอนให้"

การเมืองเมื่อก่อน เป็นระบบอุปถัมภ์ นักการเมืองมีค่าใช้จ่าย ก่อนเป็น ส.ส.หรือเป็น ส.ส.แล้ว ก็มีค่าใช้จ่าย ค่าหาเสียงสมัยปี 2526 หลวงพ่อได้เงินพรรค 1 แสนบาท แต่เมื่อก่อนหาเสียงจากนโยบายเงินผันของอาจารย์คึกฤทธิ์ (ปราโมช)

พอ ปี 2529 พรรคการเมืองก็จะมีกลุ่มทุนอุดหนุนการเงิน มีเงินทุนสำหรับส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ก็จะมีเกรดว่า ผู้สมัครแต่ละคนได้เท่าไหร่ ตัวเก็ง ตัวกลางได้เท่านั้นเท่านี้ ปีนั้น 2.5 ล้านบาท เป็นเกรดเอ เกรดกลาง ๆ ก็ 1.5-2 ล้านบาท

ปี 2531 คือ 3, 5, 7 คือใช้เงิน 3 ล้าน 5 ล้าน 7 ล้าน เหมือนเป็นตลาดนักการเมือง มีการขึ้นราคากัน แต่พรรคกิจสังคมไม่ได้ไปเร่กับเขาหรอกนะ รุ่นเดียวกัน ก็มีสุวิทย์ คุณกิตติ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กระทั่งท่านมนตรี (พงษ์พานิช) เสียชีวิตเมื่อปี 2542 ปี 2544 มีเลือกตั้ง ก็ไปไทยรักไทย อยู่กับคุณทักษิณ (ชินวัตร) หลังจากนั้น ค่าใช้จ่ายทางการเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เลือกตั้งปี 2535 ครั้งที่ 2 เป็น 10 ล้าน 15 ล้าน 20 ล้าน พอปี 2544 ใช้อย่างต่ำคนละ 20 ล้าน 20 ล้านคูณ 400 เขต ก็ 8,000 ล้านบาท ส่วนกลางอีก 2,000 ล้านบาท ก็เป็นหมื่นล้านบาท นี่คือเรื่องจริงของความจำเป็นของเงินทางการเมือง

"ถามว่า นักการเมืองโกง ใช้วิธีไหนบ้าง อันนี้หลวงพ่อไม่รู้ชัด แต่หลวงพ่อรู้ว่าเขามีค่าใช้จ่ายทางการเมือง พรรคการเมือง นอกจากหาเงินมาใช้จ่ายช่วงเลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองยังต้องหาเงินมาใช้จ่ายในช่วงที่เขาเป็น ส.ส.ออกไปเยี่ยมประชาชน เมื่อเป็นแบบนี้ กลุ่มทุนทางการเมืองของแต่ละพรรคก็ต้องมี"

สมัยอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านเอานักธุรกิจมาเป็นนักการเมือง เช่น อาจารย์บุญชู โรจนเสถียร, ท่านพงษ์ สารสิน, ท่านสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ แทนที่จะไปเอาเงินกลุ่มทุน ก็เอากลุ่มทุนมาเป็นรัฐมนตรีเลย

พอถึงยุคคุณทักษิณ ยุคท่านชาติชาย (ชุณหะวัณ) ยุคท่านชวลิต (ยงใจยุทธ) ยุคท่านบรรหาร (ศิลปอาชา) คุณทักษิณก็ซัพพอร์ตทางการเมืองให้ เวลาเขาชนะเลือกตั้ง ตั้งรัฐมนตรี คุณทักษิณก็ส่งลูกน้องไปเป็นรัฐมนตรี

คือลงทุนให้พรรคการเมืองไป หาเสียง เมื่อชนะเลือกตั้ง ก็เอาคนตัวเองไปนั่งในกระทรวง ที่พูดนี่ ไม่ต้องการให้ใครเสียหายหรอกนะ แต่พูดเป็นวิชาการ

นอกจากนี้ เมื่อพรรคต้องใช้ทุนในการหาเสียง ก็เอาเงินจากกลุ่มทุน กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ซัพพอร์ตทางการเมือง พอพรรคที่กลุ่มทุนเอาเงินให้ได้เป็นรัฐบาล ก็มาอาศัยให้ช่วยเหลือ เช่น ให้ได้ประมูลงาน ได้สิทธิพิเศษ นี่คือเมื่อก่อน แต่ช่วงหลังเอาเงินให้แล้ว ก็เอาคนไปนั่งทำงานด้วย

"บางทีไปดึง กลุ่มทุนมาร่วม โดยกลุ่มทุนไม่ต้องออกเลย เอาเงินเก็บไว้ และอย่าเอาเงินไปให้คู่ต่อสู้ บอกว่า พรรคบอกไม่ต้องการเงิน แต่มาอยู่กับผม ผมให้คุณเป็นรัฐมนตรี ส่วนวิธีการโกง เขาทำ เขาไม่บอกกัน ไม่สอนกัน เขาปิดบัง เขาต้องทำแบบ เงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้"

ทุกวันนี้ พระรักเกียรติใช้ชีวิตอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมวังพญานาค วัดใหม่สุขธนะศรีนคราราม บ้านวังชัย ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งวัดแห่งนี้ไม่ใช่อื่นไกล เพราะที่นี่คือบ้านของ อดีตรัฐมนตรีรักเกียรติ ที่เคยใช้ต้อนรับหัวคะแนนและ นักการเมืองมากมาย แต่ปัจจุบันกลายสภาพเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ไปเรียบร้อยแล้ว

พระรักเกียรติเล่าทิ้งท้ายว่า หลังพ้นโทษ หลายคนถามหลวงพ่อ ว่าจะกลับมาเล่นการเมืองอีกหรือเปล่า เราก็บอกเลย ว่าไม่เล่น คือคิดตั้งแต่ตอนขอให้ชี้มูล เมื่อครั้งเกิดคดี ทุกวันนี้ แม้แต่โทรทัศน์ก็ไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน บางครั้งชาวบ้านถามเรื่องการเมืองก็ไม่พูด แต่บางทีก็มีหลุดไปเหมือนกัน (ยิ้ม) แต่เวลาใครเชิญไปนิมนต์ที่ไหน เราก็ไปหมด งานรับนิมนต์ส่วนมากก็บรรยาย ก็ไปอธิบายให้เขาฟังว่า ชีวิตหลวงพ่อเป็นถึงรัฐมนตรีก็พลาดได้

คำถามสุดท้ายว่า ยังโกรธมติชน โกรธคุณรสนา (โตสิตระกูล) อยู่หรือไม่ ?

"...ไม่โกรธหรอก หลวงพ่ออโหสิให้หมดตั้งแต่บวชแล้ว คุณรสนาเขาเขียนจดหมายมาหา ว่าเขาก็อโหสิให้หลวงพ่อ"

จากท้องนาสู่ทำเนียบ จากทำเนียบสู่ (คุก) คลองเปรม จากคลองเปรมสู่ธรรมาสน์ นี่คือบทเรียนชีวิตของพระรักเกียรติโดยแท้...

Tags : บทเรียนชีวิต พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม ความสุข การเมือง ความเสื่อม ธรรมาสน์

view