คุย 360 องศา กับ เพชร โอสถานุเคราะห์ Creative University ศก.อย่างเดียวไม่ใช่คำตอบของประเทศชาติ"
จากประชาชาติธุรกิจ
ภาพต่อสาธารณะ "เพชร โอสถานุเคราะห์" คือศิลปินนักแต่งเพลง นักดนตรี และเป็นเจ้าของผลงานเพลงดังอย่าง เพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ), ดิ้นกันมั้ยลุง, รักเธอแต่เธอไม่รู้ และอื่น ๆ อีกมากมาย
รวมถึงผลงานล่าสุดอย่าง เราเป็นคนไทย, สันติภาพอยู่ไหน และในคืนนี้ ซึ่งเป็นผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องอินทรีแดง
ทว่า ในอีกภาพหนึ่ง "เพชร" คือทายาทของ "สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์" ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และบทบาทในมหาวิทยาลัยกรุงเทพนี่เองที่ทำให้ "ประชาชาติธุรกิจ" สนใจที่จะสัมภาษณ์เขา
ทั้งนี้ เพราะตำแหน่งปัจจุบันของเขาคือ ประธานบริหาร และ Chief Creative Officer
ที่ไม่เพียงจะมีหน้าที่ผลักดันให้มหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็น Creative University หรือมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์
หากเขายังจะต้องผลักดันให้วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นศูนย์กลางศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฉะนั้น ในบทบาทของนักการศึกษาที่แตกต่างจากนักแต่งเพลงและนักดนตรี จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งว่าก้าว ต่อไปของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ภายใต้การกุมบังเหียนของศิลปินนักการศึกษาคนนี้จะเป็นอย่างไร
เพราะทุกคำถามที่เราถามไม่เพียงโฟกัสอยู่เฉพาะเรื่องมหาวิทยาลัยสร้างสรรค์เท่านั้น
หากยังครอบคลุมไปถึงวิธีคิดและแนวคิดที่เกี่ยวเนื่องกับ social network, การทำงานกับคนรุ่นใหม่
นามธรรมที่อยู่ในใจลึก ๆ ของเขา
หรือแม้แต่เรื่องเพลง
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษคนนี้จึงตอบกลับมาอย่างหมดใจ
อย่างครบหมด 360 องศา
ไม่เชื่อโปรดอ่าน !
ช่วยเล่าให้ฟังที่มาที่ไปถึงแนวคิดการเป็นมหา"ลัยสร้างสรรค์
มหา"ลัย กรุงเทพเป็นมหา"ลัยเก่าแก่ และเป็นมหา"ลัยเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย เราเป็นมหา"ลัยความคิดสร้างสรรค์มาตั้งแต่คุณพ่อ (สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์) ก่อตั้ง ตอนนั้นเป็นอะไรที่สร้างสรรค์มาก
เพราะก่อตั้งเพื่อพัฒนา นักศึกษาให้กับภาคเอกชน ซึ่งสมัยนั้นไม่มีใครคิด ไม่มีใครมองว่าการสร้างคนเข้าไปทำงานในภาคเอกชนต้องมีความคิดอีกแบบหนึ่ง
เรา มีหลายภาควิชาที่ตรงกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในคำจำกัดความของสากล ไม่ใช่แค่เพียงสารนิเทศศาสตร์ ภาพยนตร์ โฆษณา การสื่อสาร ศิลปกรรม การออกแบบ วิศวกรรม ศาสตร์ ที่คิดค้นนวัตกรรมที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมไปถึงนิติศาสตร์ ที่ชำนาญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา
เรามองว่า มหาวิทยาลัยของเรามีหลายอย่างที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และมีหลายคณะที่เก่ง มีเด็กที่มีผลงานโดดเด่นอยู่แล้ว ถ้าเราเอาจริงเอาจังผมคิดว่าน่าจะดี เพราะแต่ละมหา"ลัยควรมีจุดยืนที่ชัดเจนเป็นของ ตัวเอง
l นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มาโฟกัสเรื่องครีเอทีฟ
ใช่...เรา มองว่าเรื่องของครีเอทีฟเป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่คณะบริหารธุกิจก็มีหลักสูตรที่ครีเอทีฟมาก และสอนให้เด็กมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ ต้องอาศัยความสร้างสรรค์ถึงจะคิดแผนธุรกิจที่เอาชนะคู่แข่งได้
แล้วมหา"ลัยสร้างสรรค์แตกต่างจากมหา"ลัยอื่นอย่างไร
หลัง จากเราประกาศจุดยืน ทุกอย่างก็ชัดขึ้น เด็กมัธยมรู้ว่าเราแสวงหาเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ เรามีทุนบียู ครีเอทีฟให้สำหรับเด็กที่มีผลงานสร้างสรรรค์เข้ามาเรียนฟรี และมีการจัดเวิร์กช็อปเพื่อต่อยอดผลงานของเขาเพื่อให้ไปคิดต่อ และเราก็มีศูนย์สร้างสรรค์มหาวิทยาลัยกรุงเทพเพื่อทำหน้าที่นี้
ไม่ นานผ่านมาเรามีโปรเจ็กต์ไอเดียแลกล้าน โดยเรามีงบฯให้ 1 ล้านบาทเพื่อให้เด็กทำโครงการแข่งกัน แล้วมาเอาเงินก้อนนี้ไปทำโครงการต่อ เด็กก็ตื่นตัวส่งมามากกว่า 500 โปรเจ็กต์ แต่คัดเหลือเพียง 20 โปรเจ็กต์ และนอกจากเด็กแล้วอาจารย์ทุกคนก็ตื่นตัวเช่นกัน เขาเร่งเตรียมความพร้อม มีกำลังใจ
จริง ๆ อาจารย์ทุกคนมีการทำงานที่สร้างสรรค์อยู่แล้ว แต่เมื่อเราชัด ทุกอย่างก็ชัดขึ้น เพราะหลักสูตรสร้างสรรค์เป็นหลักสูตรที่เหมาะกับบรรยากาศในการนั่งคิด ไม่อึดอัด เพราะบรรยากาศ จะช่วยเป็นตัวกระตุ้น และนี่คือจุดที่ แตกต่างจากมหา"ลัยอื่น
ฟังดูแล้วเรื่องของครีเอทีฟก็ยังเป็นนามธรรม
ต้อง ยอมรับว่าครีเอทีฟโดยปรัญชาคือคอนเซ็ปต์ แต่จริง ๆ แล้วครีเอทีฟเป็นต้นน้ำของนวัตกรรม, ศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ การเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรมไม่ได้วัดที่จำนวนของประดิษฐ กรรมหรือรางวัล ผมคิดว่าหน้าที่ของเราคือการฉายไฟไปทั่วบริเวณให้เห็นว่าความเป็นครีเอทีฟ คือจุดยืนของเรา
อย่างที่บอกว่ามหา"ลัยทุกแห่งของเมืองไทยเป็นแบบ อนุรักษนิยม เรื่องความคิดสร้างสรรค์จึงไม่ถูกเปิดชัดเจน แต่พอเราเปิดไฟปุ๊บก็จะเห็นปะปนกัน เราไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องครีเอทีฟ เพราะไม่ใช่เผด็จการ เรามองเหมือนการปลูกต้นไม้
ถ้าเรามีบรรยากาศ, มีดิน ฟ้า, อากาศ มีการรดน้ำพรวนดินที่ดี ต้นไม้ก็จะเจริญเติบโตกว่าต้นอื่นที่อยู่ในที่ แคบ ๆ แต่ก็อาจจะมีครีเอทีฟบางอย่างที่เกิดขึ้นในที่แคบ ๆ และกดดันก็ได้ แต่ก็อาจจะออกมาบูดเบี้ยว
อย่างผมเองสมัยเรียนมัธยมเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ผมไม่ได้โทษโรงเรียนในเมืองไทยนะ แต่พอไปเรียนที่อเมริกา มีบรรยากาศเปิดกว้างกว่า ทั้ง ๆ ที่เป็นโรงเรียนธรรมดามาก ความคิดสร้างสรรค์ของผมก็แตกหน่อเบ่งบาน เพราะตอนอยู่เมืองไทยต้องทำตามคำสั่งครูอย่างเดียว ผมคิดว่าถ้าเราทำบรรยากาศให้เปิดกว้างจะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้เช่น กัน
เพราะต้นไม้หรือดอกไม้จะงอกเงย กี่ต้นก็แล้วแต่ อย่างที่บอกว่าเราเชื่อว่าคนทุกคนมีเมล็ดพันธุ์แห่งครีเอทีฟ
ตรงนี้เกี่ยวกับโครงการไอเดียแลกล้านหรือเปล่า
ก็ พอจะเกี่ยวกันบ้าง อย่างตอนเรา จัดกิจกรรมไอเดียแลกล้าน เด็กจากคณะบัญชีก็คิดอะไรที่แปลกมาก แบบที่เราไม่คิดว่าเด็กบัญชีจะคิดแบบนี้ เขาทำเป็นกระปุกอนาคตให้ใส่เงินเข้าไปพอเต็มแล้วหมูจะวิ่งได้ คือไอเดียมันเจ๋ง แค่นี้ก็สนุกแล้ว แต่เด็กบัญชีไม่มีความรู้ในการประดิษฐ์ เขาก็ต้องไปร่วมมือกับเด็กวิศวะเพื่อสานต่อจนจบโครงการ
พอเราประกาศ ออกไปก็เกิดความ ตื่นเต้น ตื่นตัวที่จะคิด ถึงเราจะคัดเหลือแค่ 20 โปรเจ็กต์ แต่ผมเชื่อว่าเด็กที่ส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 500 โปรเจ็กต์ จากที่ไม่รู้จะทำอะไรเขาใช้เวลามานั่งขบคิดและถกเถียงถึงโครง การนี้ ประสบการณ์แบบนี้ทำให้เกิดเมล็ดพันธุ์ครีเอทีฟ แต่มันไม่ผ่านเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่เชื่อว่าเมื่อได้คิดก็สนุกและอยากคิดต่อ โครงการนี้จะมีทุกปี โอกาสอื่น ๆ ก็ยังมีอีก โอกาสที่ความ คิดสร้างสรรค์จะเบ่งบานมันก็มีมากขึ้น
แล้วความหมายของมหา"ลัยสร้าง สรรค์คืออะไร
คือ การให้โอกาส มีหลักสูตรที่ครีเอทีฟ มีสิ่งแวดล้อมที่ครีเอทีฟ จนทำ ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ อย่าง BU Day ของศิษย์เก่าเขาต้องการให้แคมปัส ที่รังสิตมีบรรยากาศโอเพ่น เห็นบอกว่ามีแม่ค้ามาขายของคล้าย ๆ ตลาดน้ำ เด็กส่งข่าวมาบอกในเฟซบุ๊กว่าเจ๋งมาก ทำให้เด็กเห็นคุณค่าของตลาดน้ำ ใช้คอนเซ็ปต์ Creativity Unlimited มีการเสวนาวิชาการภายใต้คอนเซ็ปต์นี้ เห็นไหมว่าพอเราประกาศจุดยืนว่าเป็นมหา"ลัยสร้างสรรค์มันจะมีอะไรต่อเนื่อง มาเลยที่สำคัญทำให้บรรยากาศไม่เครียด
แล้วบุคลากรอย่างอาจารย์ต้องสร้างสรรค์ด้วยหรือเปล่า
อาจารย์ ต้องทำงานวิจัย แต่เชื่อว่าเป็นการครีเอทีฟอย่างหนึ่ง ขณะที่บุคลากรต้องมีความพร้อมไปในทางเดียวกัน แน่นอนว่าไม่ได้เป็นทุกคน เพราะเราฉายไฟไปแล้ว คนที่ครีเอทีฟ ก็เหมือนขึ้นเวทีได้รับการชื่นชม ไฟก็ส่องตาม แต่คนไม่ขึ้นเวทีก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ได้บังคับว่าต้องทำ
ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายความเป็นมหา"ลัยสร้างสรรค์อย่างไร
คุณพ่อผมเป็นคนมีความคิดริเริ่มมาก ครั้งแรก ๆ ของมหา"ลัยกรุงเทพเป็นเรื่องการโรงแรม จริง ๆ น่าจะดังกว่านี้ แต่ไม่ได้จับเองตลอด
แต่ ในความที่ท่านจับธุรกิจหลายอย่าง และวางมหา"ลัยกรุงเทพให้เป็นสถาบันการศึกษาไม่ใช่ธุรกิจ จึงให้อาจารย์มาบริหาร รวมถึงคุณแม่ (ปองทิพย์) ด้วยก่อนที่ท่านจะเสียไป ผมว่าจุดที่เหมือนกันคือความคิดริเริ่ม
ตอนนั้นผมเล็กมากเกิดไม่ทัน ไม่แน่ใจว่าท่านมีเวลาสานต่อความคิดของท่านมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเทียบกับผมจะมีเวลากว่า คือเป็นพันธกิจของผมไปแล้ว คือการทำมหา"ลัยกรุงเทพให้เป็นมหา"ลัยสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 เรื่อง คือ ความคิดสร้างสรรค์กับนวัตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน อีกเรื่องหนึ่งคือการสร้างจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ สุดท้ายคือ global หรือความพยายามที่จะทำให้เป็นนานาชาติ หรือพูดให้ชัดคือ เอเชีย-แปซิฟิก
และไม่นานผ่านมา เราเซ็น MOU กับแบ็บสัน คอลเลจ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้าง ผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงระดับโลกของสหรัฐอเมริกา เพราะเราต้องการให้ศูนย์ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่วิทยาลัยนานาชาติ มหา"ลัยกรุงเทพ เน้นด้านธุรกิจ และภาคอื่น ๆ ที่เป็นเทรนด์ โดยโฟกัสธุรกิจเป็นหลัก
ถ้าโจทย์ความคิดสร้างสรรค์คือประเทศไทยจะทำอย่างไร
การ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศสร้างสรรค์ เราในฐานะผู้อยู่ในภาคการศึกษา หรือมหาวิทยาลัย อาจมีส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาคนเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่อย่างว่ามหา"ลัยเดียวทำไม่ได้ ผมมีไอเดียอยากเสนอรัฐบาล แต่ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะอยู่นานแค่ไหน เพราะตอนนี้เรากำลังทำวิจัยให้กับกระทรวงวัฒนธรรมเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อยู่ และจากการพูดจาเบื้องต้นเห็นว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพียงแต่ยังขาดนโยบายที่เป็นแผนแม่บท เพื่อขับเคลื่อนประเทศทั้งประเทศให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์บูม
ขณะที่ ประชาชนก็ต้องเปิดกว้าง กล้าคิด กล้าทำอะไรใหม่ ๆ และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะเรื่องทุกเรื่องสามารถสร้างสรรค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม, ศาสนา, วัดวาอารามรวม ๆ แล้วคือ นครครีเอทีฟ
ผมมองว่าเศรษฐกิจอย่างเดียว ไม่ใช่คำตอบของประเทศชาติ ประเทศชาติที่เจริญมากอาจเสื่อมโทรมในเรื่องจิตใจก็เป็นไปได้ ผมจึงชอบดัชนีวัดความสุขของภูฏาน เราต้องเอา 2 อย่างนี้มาบาลานซ์กัน ผมเชื่อว่าสถาบันการศึกษาท้ายที่สุดแล้วต้องพูดเรื่องนี้