กลุ่มปตท.บริหารความเสี่ยงด้วย Matching บาท-ดอลล่าร์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
กลุ่มปตท.บริหารความเสี่ยงด้วย Matching เงินบาท-ดอลล่าร์ บริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
กรุงเทพธุรกิจรายงานพิเศษคำต่อคำ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ความเปราะบางเงินทุนเคลื่อนย้าย หัวข้อ “องค์กรหมื่นล้านกับกลยุทธ์บริหารจัดการค่าเงิน” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับศูนย์เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และพันธมิตรทางธุรกิจ
“ปตท.มีธุรกิจหลากหลาย ซึ่งมีสภาวะแวดล้อมที่หลากหลายที่มีความเสี่ยงต่อองค์กรมีทั้งเรื่องของ พลังงาน ที่มีผลต่อธุรกิจพลังงาน ราคาน้ำมัน ค่าการกลั่น ราคาปิโตรเคมี ก็จะเป็นเรื่องค่าเงิน เรื่องของต่างประเทศ มันเป็นไปตามกลไกตลาดของโลกเราก็ไม่สามารถไปควบคุมมันได้ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและบริหารความเสี่ยงเหล่านี้ ให้ได้ โดยใช้เครื่องมือที่มีอยู่ซึ่งทำได้นะครับ
อันนี้เป็นราคาน้ำมันที่มีการเปลี่ยนแปลง ผมนำราคาน้ำมันในปี 2010 มาก่อนครับ จะได้เห็นว่าปี 2011 น่าจะตกใจกว่านี้ เงินบาทเปลี่ยนจาก 33 บาท เมื่อตอนต้นปี มาอยู่ที่ 30 บาทเมื่อตอนต้นปี ก็ลงมาราวๆ ลงราวๆ 3.5 ลงมาประมาณ 8 เหรียญ ก็ราว 10% ราคาน้ำมันที่ประเทศไทยใช้อ้างอิงนั่นก็คือ ดูไบ ซึ่งคือเส้นสีแดงอยู่ข้างล่าง ก็วิ่งขึ้นวิ่งลงนิดหน่อยแต่โดยเฉลี่ยขึ้นไปอยู่ 76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ขึ้นไปประมาณ 16% หรือ 12 เหรียญต่อบาร์เรล และอีกตัวหนึ่งที่มีผลอย่างยิ่งต่อราคาขายปลีก คือ แก๊สโซลีน 95 ซึ่งเป็นราคาอ้างอิงน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์ขึ้นจาก 88 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็น 102 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ขึ้น 16% นะครับ ถ้าคร่าวๆ ก็คือเงินบาทแข็งขึ้น 10% น้ำมันแพงขึ้น 16%
เพราะฉะนั้นจากตัวเลขนี้เราจะเห็นแล้วว่า ราคาน้ำมันของเราแพงขึ้นแน่นอน ต้นทุนน้ำมันมันสูงขึ้นมากกว่า saving ที่เราได้จากการแข็งค่าเงินบาท อันนี้เป็นข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ได้คิดมาตัวนี่ ถ้าวันนี้ราคาน้ำมัน ราคาอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ประมาณ 30.6 บาทต่อลิตร ใกล้เคียง 31 บาทเมื่อตอนต้นปีที่ผ่าน ราคาน้ำมันที่เราใช้เติมตามปั๊มวันนี้ก็ 125 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขึ้นมาประมาณ 23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในเวลากว่า 13 เดือนก็ขึ้นมา 20% กว่า ๆ เพราะฉะนั้น ราคาน้ำมันก็ขึ้นแน่นอนครับ
ก่อนจะถึงราคาขายปลีก เรามาพูดถึงตัว Energy เรานำเข้าน้ำมันดิบ 80% ผลิตเอง 20% เรานำเข้าก๊าซธรรมชาติ 20% และผลิตเอง 80% เรานำเข้าถ่านหินส่วนหนึ่งประมาณ 50% โดยรวมทั้งหมดที่เรานำเข้า มูลค่าเมื่อปี 2010 ซึ่งราคาน้ำมันเฉลี่ย ประมาณ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มูลค่ากว่า 28,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่านำเข้า สิ่งที่เราส่งออกนะครับ คือเราส่งออก น้ำมันสำเร็จรูปที่เราทำได้ในประเทศ ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เน็ตๆ แล้วคือเรานำเข้า 21,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเราประหยัดเงินตอนเงินบาทแข็งขึ้นประมาณ 21,500 ล้านบาท และด้วยเงินบาทที่แข็งขึ้น ประมาณ 3 บาท ก็ประหยัดไปประมาณ 70,000 ล้านบาทซึ่งมันเป็น โพสิทีพอิมแพค จริงๆ แล้วมันคือเงินตราที่เราเสียไป ถ้าเราดูวันนี้ ปีที่แล้วราคาน้ำมันขึ้นไปโดยเฉลี่ยทั้งปี 80 เหรียญสหรัฐ มูลค่านำเข้าเน็ตๆ เลยแล้วกันนะครับ 21,000
วันนี้ราคาน้ำมันแบบมอง so far ตั้งแต่ต้นปีนะครับ คงยืนประมาณ 100-110 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์ขึ้นมาจากปีที่แล้วกว่า 30 กว่าเหรียญ จาก 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ลองคูณดูว่า Net Import ที่เราเสียไป เป็นเงินตราต่างประเทศเท่าไหร่ครับ เมื่อเทียบกับ Saving แล้ว โดยเงินตราที่เราต้องเสียไปจากการนำเข้าพลังงานคงต้องสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอน จาก 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 700,000 ล้านบาท เราต้องเสียเงินไปอีกเท่าไหร่ ต้นทุนการใช้พลังงานคงเพิ่มขึ้น 40% ก็คงใกล้ๆ 1 ล้านล้านบาท
ในระยะสั้นราคาน้ำมันคงไม่ลงโดยเร็วเพราะมันมี ความไม่สงบอยู่ในประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง และมีโอกาสจะลุกลามอีกมาก และถ้าลุกลามไปยังประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่องออกมากๆ ก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นไปอีก ซึ่งประเทศเราพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเกือบครึ่งหนึ่งคือ 40%
และสำหรับพวกเราที่เติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมัน ลองมาดูว่าค่าเงินบาทที่ขึ้นลงจะทำให้เราเติมน้ำมันถูกลงยังไงบ้าง เมื่อต้นที่แล้ว 28 มกราคม 2553 ราคาน้ำมันขายปลีก ซึ่งผมขอใช้ แก๊สโซฮอล์ E 10 ลิตรละ 32 บาท ต่อลิตร ซึ่งถ้าดูข้างใน 70% เป็นราคาเนื้อน้ำมันประมาณสัก 30% คือค่าภาษี และกองทุนน้ำมัน และมีมาร์จิ้น อยู่ประมาณ 2-3% สิ้นปี 31 ธ.ค. 2553 อยู่ที่ 34 บาท ก็กลับขึ้นมาประมาณ 2 บาทกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ขึ้นไปถึง 16% นะครับ แล้ว ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น 10% ถ้าไม่มีตัวเงินบาทตรงนี้เข้ามาช่วยราคาน้ำมันก็จะขึ้นไป 36 บาทต่อลิตร ทันที เพราะฉะนั้นบาทแข็งนี่ไม่ได้ช่วยให้น้ำมันถูกลง แม้จะถูกลงบ้าง แต่ก็ไม่ช่วยชดเชยการน้ำเข้า
ก็มีตัวเลขง่ายๆ ทุกบาทที่อ่อนลงทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น60 สตางค์ต่อลิตร ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มแพงขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และจากต้นปีราคาน้ำมันก็ขึ้นไปแล้วกว่า 20 เหรียญสหรัฐก็แพงขึ้นประมาณ 4 บาท
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการเรื่องค่าเงิน เรื่องการบริหารความเสี่ยง คือเราต้องดูก่อนว่าการทำธุรกิจของ ปตท.มี อยู่ 2-3 รูปแบบ คือ รูปแบบซื้อมาขายไป รูปแบบการทำธุรกิจที่ได้มาร์จิ้น และรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศ ในส่วนแรกก็คือ ซื้อมา-ขายไปหรือเทรดดิ้ง ความเสี่ยงก็คือว่าความเสี่ยงจากการซื้อมาขายไป ความเสี่ยงคือว่าวันที่เราซื้อมาและวันที่เราขายไป อัตราแลกเปลี่ยนมันต่างกันก็ทำให้เกิด Gain loss แนวทางการบริหารจัดการก็ คือ พยายามให้อัตราแลกเปลี่ยนมันใกล้เคียงกัน คือวันที่ซื้อมาราคาเป็นเท่าไหร่ เราก็พยายามแพลนว่าราคาที่เราขายจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าเป็นการซื้อเราก็แพลนซื้อดอลล่าร์ล่วงหน้าไป ถ้าเป็นขายก็พยายามทำให้เวลามัน Matching ตัว Timing ที่เราซื้อมา ก็จะช่วยบริหารความเสี่ยงทีเกิดจากค่าเงินได้
ส่วนที่สอง คอนเซ็ปต์ก็คือว่า ธุรกิจหลายอย่างของ ปตท.มัน เชื่อมโยงกับตัวดอลล่าร์ เพราะราคาน้ำมัน มันเชื่อมโยงกับดอลล่าร์เช่น เรามีวิธีการปรับให้มาร์จิ้นซื้อมาเป็นดอลล่าร์ และเราก็จับหนี้มีอยู่เป็นเงินสกุลดอลล่าร์ เพราะฉะนั้นเมื่อบาทเปลี่ยนแปลง ดอลล่าร์เปลี่ยนแปลง การที่เราปรับแผนทำให้ดอลล่าร์เท่าเดิม บาทเท่าเดิม ขณะที่เรามีเงินกู้เป็นสกุลบาท ก็จะทำเป็นดอลล่าร์ ถ้าจับตรงนี้ดีๆ ก็จะบาล๊านซ์ตัวกำไรขาดทุนได้ ซึ่งเป็นการแมทชิ่งตัวเงินกู้กับกำไร ก็จะคล้ายๆ การแมทชิ่งกระแสเงินสด
ส่วนที่สามคือ การลงทุน ถ้าเรารู้ว่าจะต้องมีการใช้เงิน ก็อาจจะซื้อดอลล่าร์เตรียมไว้ สอดคล้องกับแผนของเราปีที่แล้วที่เราวางไว้ให้เชื่อมโยงการลงทุนทั้งในและ ต่างประเทศ การลงทุนไม่ว่าจะลงทุนในสกุลใดก็ตาม สร้างโรงงาน ที่ไหนก็ควรใช้เงินที่นั่นและต้องแมทชิ่งเงินสกุลนั้น เช่นเวลาไปลงทุนต่างประทศเงินลงทุนต่างประเทศ ก็ควรจัดสรรกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศอยู่แล้ว และถ้าไปลงทุนในประเทศที่สามก็พยายามเชื่อมโยงรายได้ ให้กลับมาเป็นเงินที่มันเป็นสกุลดอลล่าร์ จะทำให้ความเสี่ยงตรงนี้หายไป ผลตอบแทนการลงทุนก็จะเป็นไปตามที่เราประเมินไว้ นี่เป็นทฤษฎี ในความเป็นจริงก็ทำได้
อย่างตอนนี้เราก็พยายามผลักดันให้มันเกิด นอกจากนั้นอีกส่วนหนึ่งคือ เป็น offshore จะได้ไม่ต้องแปลงกลับไปกลับมา สำหรับตัวลงการลงทุน ทีนี้มองในเรื่องการลงทุนที่เป็นดอลล่าร์ ไปเลยไป ในช่วงนี้มาตรฐานบัญชีก็เริ่มเปลี่ยน มาใช้ระบบใหม่ ก็จะกลายเป็นตัวที่เชื่อมโยงกับดอลล่าร์ เราเลยกำลังตกลงว่าตัวดอลล่าร์นี้ จะถูกนำมาใช้ในทางบัญชี อัตราแลกเปลี่ยนตอนที่เราทำ currency rate จะสะท้อนตัวความเสี่ยงทางด้านธุรกิจของอัตราแลกเปลี่ยน ก็เป็นทิศทางในการบริหารความเสี่ยง เอาเงินดอลล่าร์ไปลงทุนต่างประเทศช่วยระบายออก ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้หมด รวมทั้งกรณีค่าเงินบาทอ่อนด้วย
อย่างวันนี้ค่าเงินบาทแข็งค่ามีโอกาสแข็งขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่ราคาน้ำมัน ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องรอดูว่าจะยืดเยื้อหรือเปล่าถ้ายืดเยื้อจะมีผลกระทบกับประเทศเราหรือ เปล่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่เงินบาทจะไหลกลับเข้ามาในประเทศ วิกฤติในตะวันออกกลางจะเป็นตัวชี้เศรษฐกิจโลก มีโอกาสที่น้ำมันจะแตะ 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลิเบียกระทบต่อยูเออี อิหร่าน ซาอุ ราคาน้ำมันที่ 150 เหรียญสหรัฐฯ อาจจะไม่ใช้ราคาที่สูงเกินไปก็ได้
สำหรับเรื่องอุดหนุนราคาน้ำมันที่ 30 บาท ถ้าวันนี้ไปเติมน้ำมันที่ ปตท.ก็ จะเห็นราคา 30 บาท แต่ปั๊มอื่นๆ อาจจะมีแว๊บๆ เกินไปบ้างนิดหน่อย เราพยายามที่จะดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐและผู้บริโภค แต่ก็ยอมรับว่า ช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันขึ้นไปสูงนี่ทาง ปตท.ไม่ได้ดีใจเพราะว่า มาร์จิ้นยังต่ำอยู่
ผมอยากจะฝากถึงรัฐบาลว่า ปีนี้ กลุ่มบริษัท ปตท.ส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ อย่าง ปตท.สผ.กำลังจะทำบัญชีและจัดทำรายงานผลประกอบการเป็น ดอลล่าร์ เพราะว่ารายได้ของ ปตท.สผ.ส่วน ใหญ่เป็นดอลล่าร์ การลงทุน การขุดเจาะสำรวจเป็นดอลล่าร์ การรับสัมปทานเป็นดอลล่าร์ เงินทุนเขาปัจจุบันเป็นบาทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนเงินกู้เริ่มทยอยปรับให้เป็นดอลล่าร์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางการบริหารความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน ธุรกิจของเขาเป็นดอลล่าร์เคอร์เรนซี่ มันคือสถานะของธุรกิจ
ประเด็นคือ เมื่อเรามีการปรับบัญชีภาษี ก็ต้องทำรายงานบัญชีเป็นพรีเซนเตชั่นเคอร์เรนซี่ ก็จะแปลงตัวดอลล่าร์เป็นบาทโดยใช้ตัวอัตราแลกเปลี่ยน จะเป็นการรองรับกับมาตรฐานบัญชีใหม่ ซึ่งอย่างทีผมเรียนให้ทราบสักครู่ ค่าเงินโดยตัวธุรกิจของเขาเป็น ดอลล่าร์เคอร์เรนซี่ ประเด็นหนึ่งเมื่อเรามีการปรับบัญชีที่ตรงนี้จะต้องย้อนกลับไปดูใหม่ทั้งหมด ว่าทรัพย์สินที่เขาได้มา เป็นอย่างไร มูลค่าจริงเป็นอย่างไร ประเด็นคือ ภาษีที่เขาจะต้องเสียนี่ปัจจุบันยังไม่มีการปรับมาตรฐานทางด้านภาษี เวลามีผู้ไปยื่นใหม่เกิดขึ้น
จริงๆ แล้วตัวนี้กว่าจะใช้ก็อีก 2 ปีข้างหน้า แต่ ปตท.สผ.มี ความชัดเจนที่จะใช้เลย แต่ว่าเขาก็ต้องทำพรีเซนเตชั่นแปลงเงินดอลล่าร์มาเป็นบาท เพื่อที่จะชำระภาษีในบัญชีเดิมที่อาจจะมีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคตถ้าเงิน บาทมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง การชำระภาษีก็จะไม่สอดคล้องกับภาวะจริงก็อยากฝากให้รัฐบาลพิจารณาให้สอด คล้องกัน"