หม่อมอุ๋ย'แนะใช้ ASIAN Currency สกัดค่าเงินผันผวน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
กรุงเทพธุรกิจ รายงานพิเศษคำต่อคำ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" แนะใช้ASIAN Currency อ้างอิงสกัดค่าเงินผันผวน
กรุงเทพธุรกิจ รายงานพิเศษคำต่อคำ "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในงานสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ความเปราะบาง..เงินทุนเคลือนย้าย"
ในหัวข้อ "ขีดแข่งขันและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ภายใต้ค่าเงินบาทผันผวน" ว่า " ณ วันนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน 2553 มาถึงวันนี้ ค่าเงินบาทไม่ ได้ผันผวนเลย ซึ่งจากการติดตามตัวเลขในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จะเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้าไปดูแลอย่างเต็มที่ จนค่าเงินบาทไม่มีความผันผวน และเงินทุนไม่ได้ไหลเข้ามากนัก
ฉะนั้น สิ่งที่ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดูแลค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ผมเห็นด้วย หลังจากเดือนตุลาเดือนเดียว ต่างชาติไม่สามารถทำกำไรจากค่าเงินบาทได้ง่ายๆ ต่างชาติได้ชะลอไป ความจริงในเดือนพฤศจิกายนเงินทุนได้ไหลออกไปด้วยซ้ำ และมาในเดือนธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ เงินทุนก็ไม่ได้ไหลเข้ามากนัก แสดงว่า นักลงทุนต่างชาติรู้ว่า แบงก์ชาติจะไม่ปล่อยให้เขาตักตวงความต่างของค่าเงินได้ง่ายๆ
ทางฝ่ายภาคเอกชนได้ฝากขอบคุณท่านผู้ว่าแบงก์ชาติ เราก็สบายใจได้ว่า มีผู้ว่าฯที่เข้าใจความเป็นไปในโลกอย่างแท้จริง และเชื่อว่าท่านผู้ว่าฯจะดูแลค่าเงินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตค่าเงินอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะถึงจุดหนึ่งที่แรงกดดันจากเงินทุนไหลเข้าจะเข้ามารุนแรงอีกครั้ง เหมือนเมื่อตอนช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน และกรกฎาคมปีที่ผ่านมา
ผมอยากจะพูดโยงไปถึงโลกที่ขณะนี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปมาก จากการเกิดขั้วอำนาจใหม่ของโลก โดยไม่ได้วัดจากเศรษฐกิจ ไม่ได้วัดจากแสนยานุภาพทางทหารแล้ว แต่กำลังการผลิต (Capacity) รูปแบบใหม่ของโลกได้ย้ายมาอยู่ที่เอเซียตะวันออก ไม่นับรวมญี่ปุ่น โดยเราค้าขาย ซื้อมาขายไป ส่งออก นำเข้าประมาณกว่า 40-45% ของจำนวนส่งออก ในขณะที่ญี่ปุ่นเองเหลือเพียง 13 - 14%ของจำนวนส่งออกเท่านั้น ส่วนยุโรปและอเมริกา เหลือ 30% ฉะนั้น ขั้วอำนาจใหม่ มันต้องอยู่ข้างนี้แน่ การได้เสียอยู่ตรงเอเซียตะวันออก
ภูมิภาคเอเชียตะวันออก เป็นศูนย์กลางผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุด ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าอิเลคทรอนิกส์ Software IT แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ก็คือ คู่แข่งของไทยอยู่ในเอเซียตะวันออกด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันเอเชียตะวันออกซึ่งกำลังขยายตัว โดยเฉพาะจีนเริ่มมีในลักษณะที่เป็นตลาดใหม่ของเรา
เดิมเคยมีคนคิดว่า ที่เราส่งออกไปในเอเชียตะวันออก 40-45% เขาเอาสินค้าเราไปผลิตต่อแล้วไปขายต่อให้แก่ยุโรป อเมริกา แต่ตอนหลังไม่ใช่แล้ว
มีการทำการศึกษา โดยธนาคารกลางหลายแห่งด้วยว่า จีนใช้สินค้าเราบริโภค 50% อันนี้คือสิ่งที่เขาประมาณการณ์ศึกษาแบบนักเศรษฐศาสตร์ เพราะฉะนั้น ก็เด่นชัดว่า เอเชียตะวันออกนี่เป็นทั้งคู่แข่ง และตลาดใหม่ของเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยู่ในแหล่งที่เป็นทั้งคู่แข่ง และเป็นทั้งตลาดใหม่นี่ ก็ต้องบอกว่าคงจะไม่เป็นการฉลาดเลย ถ้าเราจะปล่อยให้ค่าเงินบาทของเราแข็งตัวขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินในเอเชีย ตะวันออก ผมไม่ได้เทียบกับดอลลาร์ หรือเงินยูโรเลยนะครับ
สมมติถ้าเทียบกับเอเชียตะวันออกด้วยกัน ถ้าหากค่าเงินบาทเราแข็งเกินกว่าเขา เราก็แข่งขันยาก แล้วเราก็ขายสินค้าให้เขายากขึ้น เพราะว่าสินค้าเราจะแพงแต่หากค่าเงินบาทอ่อนไปนักก็ไม่ดี มันต้องปรับให้เท่าๆ กัน พออ่อนไปเดี๋ยวเขาก็หันมาตีเราเหมือนกัน สิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ ทำอย่างไรที่จะดูแลให้ค่าของเงินเราให้มันเปลี่ยนแปลงไปในอัตราที่ใกล้ๆ กับคนอื่น
ส่วนแนวโน้มของค่าเงินในสกุลเอเซีย ก็ต้องบอกว่า ที่นิ่งมากๆ เลยคือ เงินดอลลาร์ของฮ่องกง ซึ่งเทียบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในขณะที่รองลงมาเป็นเงินหยวนที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด
ในช่วง 4 - 5 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเรา เองก็เกือบไม่เปลี่ยนเลย จริงๆ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินเราอ่อนลงด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่ถ้าย้อนไปดูในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 และ 2553 จะชัดเจนว่า เงินบาทเราแข็งเกือบจะที่สุด ฉะนั้น จึงเป็นช่วงที่ทำให้คนเดือดร้อน
แต่ช่วง 5 เดือนหลังจากนั้น เป็นช่วงที่คนไม่เดือดร้อน ก็เป็นอะไรที่ชัดเจนว่า นโยบายที่เดินไปในตอนนี้เป็นนโยบายที่ค่อนข้างถูกทาง ท่านผู้ว่าแบงก์ชาติคงใช้มาตรการหลายอย่าง มีทั้งที่เกี่ยวกับ Exchange Rate และที่ไม่เกี่ยวกับ Exchange Rate เลย
สำหรับระยะยาว หลังจากช่วงสั้นๆ ชัดเจนแล้ว ผู้ว่าแบงก์ชาติในเอเชียต่างรู้ว่า exchange rate ไปด้วยกัน และทำให้การค้าขายระหว่างกันง่าย ในการไปแข่งกันขายไปยังยุโรป อเมริกา ก็แข่งกันโดยสิ่งที่ไม่ใช่ exchange rate แต่ด้วยฝีไม้ลายมือ หรือด้วยต้นทุนจริงๆ ประเด็นก็คือ ทำอย่างไรถึงจะให้อัตราแลกเปลี่ยนในเอเซียให้มันไปทิศทางเดียวกัน
แต่ก็ไม่ใช่รวมเป็นสกุลเดียวกัน
ผมมีแนวทางให้เลือกและคิดว่า ความร่วมมือของสกุลเงินในเอเชียนี่เป็นเรื่องที่ผู้ว่าการธนาคารกลาง ควรจะให้ความสนใจ แล้วควรจะคุยกัน ซึ่งก็ทราบว่าคุยกันอยู่ แล้วก็มีติดตามร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ถามว่าหนทางจะร่วมมือมีทางเลือกกี่ทาง
ผมลองลิสต์มา 3 ทางเลือก
แนวทางแรก "exchange rate targeting" เป็นแบบสุดขั้ว คือ ทำตามระบบของจีน ระบบของจีนเขาไม่ได้ fix เหมือนค่าเงินของฮ่องกง แต่เขากำหนดอัตราแลกเปลี่ยน เทียบกับดอลลาร์ไว้ แน่นอนว่า ค่าเงินของจีนจะต้องแข็งขึ้น เพราะคนได้กำไร balance of trade มหาศาล มันก็ต้องแข็งขึ้น จึงค่อยๆ กำหนดให้แข็งขึ้นทีละนิด ผมเรียกอันนี้ว่า exchange rate targeting ในลักษณะกำหนดเลย วันนี้เท่านี้ พออีก 6 เดือนมันเปลี่ยนไป แต่ให้ทะยอยแข็งทีละนิด ถ้าทุกประเทศจะหันมาใช้วิธีนี้ แล้วก็ค่อยๆ กำหนดลักษณะที่ค่อยๆ แข็งขึ้น ไม่ต้องพร้อมกันทีเดียวก็ได้ มันมีวิธีที่ค่อยๆ ไปด้วยกัน
แต่ปัญหาก็คือ จะคุยกันรู้เรื่องมั้ย วิธีนี้ไม่ใช่ของประหลาด สิงคโปร์ ทำ exchange rate targeting ทุกวัน เขาจะแสดงเลยว่า targeting เท่าไหร่ เขา target ไปเลย เพียงแต่ว่าการ targeting เขาไม่เหมือนจีน เขารู้เลยว่ามันต้องแข็ง เขาจึงทะยอยแข็งทีละนิด
แนวทางที่ 2 เป็นการรวมเป็นเงินสกุลเดียวกัน อย่างที่ผู้ว่าฯพูดแล้ว อาเซียนเป็น ACU อันนี้ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่ฝันกันไว้ โอกาสอันนี้มีได้น้อยกว่าแนวทางแรก เพราะว่าอะไรหลายๆ อย่าง ท่านผู้ว่าฯได้ยกตัวอย่างว่า ในระดับเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน จะมีผลดี ผลเสีย ผมพูดภาษาง่ายๆ ว่า ถ้าใช้ ACU ในอาเซียนมันจะใช้ดอกเบี้ยตัวเดียวกัน
ถามว่าเศรษฐกิจพม่า เศรษฐกิจไทยใช้ดอกเบี้ยตัวเดียวกันได้มั้ย เอาง่ายๆ EURO ใช้ระดับอัตราดอกเบี้ยในเยอรมันกับสเปนหรือประเทศกรีซ ใช้อัตราดอกเบี้ยระดับเดียวกัน อย่างนี้ผมคิดมันไปไม่รอด
แนวทางที่ 3 เป็นแนวคิดของผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งเก่งที่สุดในเอเชียตอนนี้ คุณโจเซฟ แยง เป็นคนคิดเอาไว้ เป็น "ASIAN Currency" ไม่ใช่ ASEAN Currency เพื่อไว้ใช้อ้างอิง
โดยแต่ละประเทศประกาศค่าเงินของตัวเอง เทียบกับ ASIAN Currency อาจตกลงใช้ 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ได้ พอครบ 1 ปีทุกคนก็มาประชุมกันใหม่ จะทำให้ค่าเงินมัน realistic เพราะมันไม่ต้องเปลี่ยนทุกวัน ณ ปัจจุบัน มันจะเปลี่ยนเทียบกับดอลลาร์ หรือ ยูโร
ASIAN currency อันนี้เป็นสิ่งที่ได้คุยกันไว้ ก็เป็นแนวทางที่ 3 ที่ผมฝากไว้
มีตัวอย่างว่า ญี่ปุ่น เคยเชื่อการชักจูงของประเทศตะวันตก ค่าเงินเยนญี่ปุ่นเคยอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 360 เยน แล้วพอปล่อย float มาเป็น 240 , 120 แล้วในที่สุดมาถึงทุกวันนี้ 27.8 หลังจากนั้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่เคยฟื้นขึ้นเลย
ผมก็ไม่คิดว่า เอเชียจะไป floating currency ถ้า float ประเทศไทยก็ตาย จีนเป็นประเทศที่เราต้องดู ถ้าเขาไม่ float เราก็ตาม แต่ถ้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนให้แข็งค่าขึ้น เราก็ค่อยๆ หาวิธีที่จะเปลี่ยนให้แข็งค่าขึ้น
สำหรับมาตรการดอกเบี้ย ในช่วงเศรษฐกิจที่ผ่านมา บางที่บอกว่า ไทยเราฟื้นแล้ว ดูให้ดีจะเห็นว่า การฟื้นตัวไม่เท่ากัน อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่ ฟื้นได้ดีกว่า แต่บริษัทขนาดเล็ก และขนาดกลาง เราไม่ฟื้น พอเราใช้ทฤษฎีดอกเบี้ย บริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก โดนหมดทุกคนเลย
บริษัทขนาดใหญ่ไม่เท่าไหร่ แต่ขนาดเล็กจะโดนกระทบมาก ผมอยากติงนิดหนึ่งว่า ในสภาพเช่นนี้ ทำไมไม่ใช้มาตรการที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย แต่ยกตัวอย่างที่ผมชื่นชมมากที่ท่านผู้ว่าฯ ออกมาเรื่องการแก้ปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (real estate) คือ ไม่ใช้มาตรการดอกเบี้ย แต่เป็นการลดจำนวนอัตราที่จะจำนองลง จากร้อยละ 90 เพราะตอนนี้ทำท่าจะเป็น bubble หรือ ฟองสบู่ใน real estate การลดการใช้เงินโดยที่ไม่ได้เป็นดอกเบี้ย มันตรงจุดและชะงัก แล้วมันไม่มีผลเสียไปถึงธุรกิจอื่นที่ยังไม่ฟื้น
ผมยอมรับว่า ถ้าธุรกิจมันฟื้นหมด เราใช้อัตราดอกเบี้ยดีที่สุด แต่ในสภาพที่มันฟื้นไม่เท่ากัน บริษัทใหญ่นี่ยิ้มสบายเลย แต่บริษัทเล็กจะแย่ ตรงนี้ ผมจึงขอฝากถึงคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน ด้วย เพราะการจะไปคิดถึงการใช้มาตรการนี้ โดยไม่ดูสภาพการใช้ที่แท้จริงว่ามันฟื้นไม่เท่ากัน ถ้าเงินเฟ้อของเราตอนนี้ 7 - 8 % ผมเห็นด้วย ใช้เต็มที่ ตรงนี้ยอมรับว่าผมเป็นห่วงภาคเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นจริงๆ กลัวจะถูกมาตรการดอกเบี้ยที่ไปดึงลง ทำให้เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้ซักที"