สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดใจ รากหญ้าภูมิใจไทย แม่สะอิ้ง-คำตา

จาก โพสต์ทูเดย์

เปิดใจแม่สะอิ้ง ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15 พรรคภูมิใจไทย ปูพรมนโยบายประกันราคาข้าวตันละ 2 หมื่น หวังพลิกพื้นที่สีแดงเป็นสีน้ำมัน

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ถือว่าเรียกเสียงฮือฮาทางการเมือง เมื่อพรรคภูมิใจไทย เปิดโอกาสให้ “แม่สะอิ้ง” หรือชื่อจริง นางศุภาธินันท์ ไถวสินธุ์   แกนนำคาราวานคนจนชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ลงสมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15  แม้จะไม่ใช่บัญชีเบอร์ต้นๆแบบที่เรียกว่า นอนมา แต่ก็น่าลุ้นว่าหากชาวนาได้เข้าไปเป็นส.ส.ในสภา จะทำหน้าที่เป็นอย่างไร 

แม่สะอิ้ง เพิ่งเสร็จจากการออกเดินเท้าเปล่า คาราวานคนจน รณรงค์หาเสียงใน 16 จังหวัดภาคอีสาน ร่วมกับนายคำตา แคนบุญจันทร์ หนึ่งในปาร์ตี้ลิสต์พรรคภูมิใจไทยเช่นเดียวกัน  โดยพื้นที่ภาคอีสานถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ที่พรรคภูมิใจไทยต้องเบียดแย่งเอ้าอี้กับพรรคเพื่อไทย

แม่สะอิ้ง บอกว่า  วันนี้เหลือจังหวัดที่จะเดินทางไปอีก  3-4 จังหวัด  เช่น  เลย นครพนม ชัยภูมิ มุกดาหาร จะไปลากเกวียนประกาศให้คนรู้เข้าใจ เราคือพี่น้องคาราวานคนจน มาช่วยพรรคของพี่น้องดีกว่า เพราะตอนนี้คนที่ถือดาบอาญาสิทธิ์ก็คือคนจน ก็ป่าวประกาศให้เขารู้

เวลาไปคาราวาน ก็จะมีคนถามว่าหัวหน้าทำไมมาอยู่พรรคภูมิใจไทย เพราะเมื่อปี 2548-51 เคยอยู่อีกพรรคนึง เราก็บอกว่า อยากเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทยเหมือนกัน แต่เขาเอาแต่ดาราหนัง นายทุน ไม่เอาคนจบป.4   ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางพรรคก็มาคุยกัน แล้วบอกว่าให้ตำแหน่งได้เป็นแค่ที่ปรึกษา แต่พรรคภูมิใจไทยให้เราเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15 ก็ไม่รู้คะแนนจะถึงหรือไม่ แต่ก็ถือว่าเราโชคดีที่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ถือว่าพรรคให้โอกาสคนจบป.4

ในส่วนของนายเนวิน ชิดชอบ หนึ่งในแกนนำพรรคภูมิใจไทยนั้น แม่สะอิ้งยืนยันว่า รู้จักกันดี  นายเนวิน เป็นคนดี แต่ถูกกล่าวหา รู้จักกันตั้งแต่ก่อนคาราวานคนจนแล้ว นายเนวินเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แล้วจำแม่น เคยบอกไว้ สัญญาไว้ว่าจะให้มาร่วมงานกัน ตอนนั้นก็ฟังแล้วคิดว่า นายเนวินจะทำตามที่พูดหรือไม่ เพราะคาราวานคนจน 6-7 คนนั้น นายเนวินสัญญาว่าจะช่วย ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าพูดจริงทำจริง เป็นคนพูดน้อยแต่ทำมาก 

“เคยบอกคุณเนวินว่า น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มันก็ติดหลายเรื่อง การเปิดให้เรามาลงส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็ถือว่าเมตตามาก เพราะเราคนจนจริงๆ ได้ลงเบอร์ 15 ก็ถือว่าดีมากแล้ว จะได้หรือไม่ก็ไม่คิดอะไร และไม่ได้อยากลงสมัครส.ส.เขตด้วย”แม่สะอิ้งบอก

แม่สะอิ้ง หรือ นางศุภาธินันท์ ไถวสินธุ์

แกนนำคาราวานคนจน ยอมรับว่า ในการออกคาราวานในภาคอีสานนั้น จะมีคำถามตลอดว่า เสื้อแดงเราไปไหน ทำไมหัวหน้าไม่อยู่กับพรรคเสื้อแดง เราบอกว่าเขามีนายทุน กับคนมีชื่อเสียงในสังคม ชาวนาคนธรรมดาอย่างเราเขาไม่ให้ ก็มีคนโทรศัพท์มาหาอย่างนี้ตลอด เราก็บอกว่ากับเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร และไม่ได้เกลียดกัน แม้จะเป็นเสื้อสีไหน เสื้อน้ำเงินก็เช่นกัน เราก็ยังรักทุกคนเหมือนเดิม แต่คือมันแค่ต่างกรรม ต่างวาระ อย่างคนนอนมุ้งเดียวกัน ยังฝันต่างกันคนละเรื่องเลย จากนั้นก็จะมีคนถามอีกว่าแล้วจะให้กาเบอร์อย่างไร เราก็บอกว่า ถ้าเขตก็สีแดง ถ้าพรรคก็เบอร์ 16 เลือกภูมิใจไทย เขาก็จะหัวเราะ

"คือแรกๆในภาคอีสานถ้าไม่ใช่พรรคเสื้อแดง เขาก็จะไม่คุยกับเราแล้ว หลังๆพรรคอื่นๆหรือพรรคไหนๆก็คล้ายๆกัน สุดท้ายคือเรื่องของทุนกับคน ที่ผ่านมามีป้ายแดงในหมู่บ้าน ในครอบครัว ตอนหลังๆก็เอาป้ายลง เปิดใจรับคนอื่นมากขึ้น บางหมู่บ้านเป็นเขตของเค้า เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วในหมู่บ้านมีคนหลากหลาย การขึ้นป้ายเสื้อแดงจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หลายคนก็เอาป้ายลง เพราะในหมู่บ้านเดียวกันบางคนเขาก็ไม่เห็นด้วย ว่าทำไมต้องเอาป้ายมาขึ้นบ้านเขา" 

“เมื่อปี 2553 ตอนที่มีชุมนุมที่ราชประสงค์เรื่องเหล่านี้แรงมาก แต่พอหลังๆมีการยุบสภาเรื่อยมาก็มีต้านพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงภูมิใจไทยด้วย  แต่ตอนหลังก็ค่อยๆน้อยลงแล้ว คนหันมาฟังเรามากขึ้น เพราะคิดว่าเราสามารถพูดคุยกันได้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายหมู่บ้านแล้ว  เมื่อก่อนที่จังหวัดร้อยเอ็ดเข้าใกล้ยังไม่ได้เลย หลังๆจาก 100 คนเริ่มแฟ็บลงเรื่อยๆ อย่างหมู่ 12 เป็นกลาง 30 ครอบครัว ตอนหลังก็เพิ่มขึ้น รับฟังมากขึ้น ครอบครัวเดียวกันยังมองคนละพรรคเลย” 

แม่สะอิ้ง เล่าว่า วิธีการสร้างหมู่บ้านแดงนั้น เรียกว่าเป็นกลยุทธ์หาเสียงก็ได้ เป็นสิ่งที่แกนนำได้ฟังมา แล้วก็มาถ่ายทอดต่อ พอมีคนต่อต้าน ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของการจะนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา จะอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ต้องยอมรับว่าคนศรัทธาพ.ต.ท.ทักษิณ มีมากอยู่ เพราะคนอีสานเชื่อมั่นพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะเรื่องกองทุนหมู่บ้าน 

“แม่ก็ได้แต่บอกว่าเค้าร่ำรวย มีเครื่องบินส่วนตัว แต่เราก็ทำนา เค้าไม่เคยมาเยี่ยม มีที่อำเภออาจสามารถ ตอนแรกๆแรงมาก พอประชาธิปัตย์เริ่มเข้าไป ท่าทีของอาจสามารถก็เปลี่ยนไป” แม่สะอิ้งระบุ

ไม่เพียงเท่านั้นแม่สะอิ้งบอกว่า ในภาคอีสาน ยังมีการนำเรื่องสถาบันไปโจมตี  โดยเฉพาะกลุ่มครูบาอาจารย์ คนกลุ่มนี้ชอบพ.ต.ท.ทักษิณมาก  เราก็บอกเค้าไปว่าพูดแล้วเสียหาย เป็นของสูง อย่างแม่ของแม่สะอิ้งเองก็นับถือมาก ไม่อยากให้ใครมา กล้ำกราย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะครูบาอาจารย์รับสื่อด้านเดียว การศึกษาถึงได้เสื่อม เอาข้อมูลการสื่อสารผิดๆไปพูดต่อ ทั้งที่ควรกลั่นกรองโดยใช้วิจารณญาณ ว่าส่วนไหนไม่ดี ก็ไม่ต้องเก็บเกี่ยวมา 

สำหรับเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์นั้น ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 15 พรรคภูมิใจไทย บอกว่า ไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย ไม่อยากให้มีคนตาย จริงๆแล้วม็อบน่าจะลงได้ก่อนหน้านี้ และการทำม็อบไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะทำให้คนอื่นแทรกแซงได้ สุดท้ายก็ห้ามกันไม่ฟัง เสื้อแดงก็เดินไปเดินมา ส่วนตัวแกนนำก็ดื้อดึง ขณะที่บางคนอยากกลับก็กลับไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ความผิด สุดท้ายก็เสียหายทั้งสองฝ่าย 

แกนนำคาราวานคนจน มองว่า จริงๆแล้วคนทำม็อบต้องเป็นคนมีประสบการณ์ ต้องมีจังหวะ รุกและถอย ต้องมีผ่อนคลายบ้าง แต่การชุมนุมที่ราชประสงค์เหมือนจะเอาแตกหัก ทั้งๆที่จริงๆคือต้องมีช่วงของมัน ถ้าเป็นคาราวานทำอย่างนี้ไม่ได้ เราจะบอกเสมอว่า เมื่อคนเริ่มด่า เราจะถอย ไม่ใช่ไปข้างหน้าอย่างเดียว แกนนำต้องประเมินทุกชั่วโมง ทุกนาที ไม่ใช่ให้เขามานั่งรอความตาย ผู้นำจริงๆต้องมีเหลี่ยม ไม่ใช่มีแต่ดัน ส่วนทหารก็ใช้ความเหนือกว่าตลอด เพราะมีอาวุธ ทำร้ายคนที่อ่อนแอ อย่างนี้ก็ไม่ถูก งานนี้มองมุมไหนก็ไม่ถูกทั้งสองฝ่าย 

แม่สะอิ้ง กล่าวว่า หากได้เข้าไปเป็นส.ส.และรัฐบาล ก็พร้อมจะผลักดัน 3 นโยบายของพรรคภูมิใจไทย คือการทำให้ชาวนาขายข้าวได้ตันละ 2 หมื่นบาททั่วประเทศ โดยรัฐบาลจะเดินหน้าออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อประกันราคา ให้ชาวนามั่นใจว่าข้าวที่จะออกมาหรือไม่ก็ตามได้ราคาที่ 2 หมื่นบาทแน่  และไม่ว่านาล่ม นาแล้ง น้ำท่วม ก็จะยังได้รับเงินมีรายได้แน่นอน ลดภาระให้ชาวนา

ยอมรับว่าเวลาไปคาราวานคนจน ก็จะมีชาวบ้านมาถามว่านโยบายเราทำได้จริงหรือไม่ เราก็จะบอกว่าพรรคภูมิใจไทยพูดแล้วทำ ไม่ใช่พูดแล้วทำไม่ได้ เพราะขณะนี้ชาวบ้านกลัวนักการเมืองเข้าไปหาเสียง แต่ทำไม่ได้จริง  ซึ่งปรากฎว่าเมื่อพรรคภูมิใจไทยเดินสายไปบอกชาวบ้าน ก็มาฟังกัน ต้อนรับดีมาก โดยเฉพาะเรื่องประกันราคานี่ ถือว่าคนสนใจมาก 

“วันนี้คนอีสานเข้าใจแล้วว่าประกันดีกวาจำนำ เพราะจำนำต้องมีข้าว ต้องมีของ ไม่มีเขาก็ไม่ให้ แต่ประกันไม่มีของ แล้ง น้ำท่วม รัฐก็ยังให้เงินส่วนต่าง แถมพวกจำนอง จำนำยังต้องมีต้นทุน พวกปุ๋ย พันธุ์ น้ำ เกี่ยวเสร็จก็ต้องมีข้าวจริงๆ” แม่สะอิ้งระบุ

ส่วนนโยบายบัตรเครดิตชาวนาของพรรคเพื่อไทยนั้น แม่สะอิ้ง ยืนยันว่า เมื่อเทียบกันแล้วนโยบายประกันราคาดีกว่าแน่นอน อย่างที่จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยเขาบอกว่าจะให้กู้คนละ 2 แสน เราก็บอกชาวนาว่าอันนี้คือหนี้นะ ไปกู้อีกก็เพิ่มหนี้ ถ้ากู้แล้วไม่มีผลผลิตออกมาตามนั้น เท่ากับเงินก็หายไปกับสายลมแสงแดง เงินกู้มีดอกเบี้ย ไม่เชื่อหรอกถ้ามีคนบอกว่าไม่มีดอกเบี้ย แต่ประกันราคาของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่อย่างนั้น โครงการประกันราคาจะลดหนี้ลงได้ ซึ่งพอเราอธิบายอย่างนี้ ก็มีคนถามว่าหัวหน้าจริงด้วย เราน่าจะเปลี่ยนแปลง

“แรกๆชาวนายังไม่ค่อยเข้าใจการประกันรายได้ ประกันราคา เพราะเกิดความขัดแย้งเรื่องพรรคการเมือง อะไรที่เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการเลย  แต่เราก็บอกว่าการเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร  และเมื่อเริ่มเห็นชาวบ้านคนอื่นๆเข้าโครงการแล้วเกิดผลดี ตอนหลังๆคนที่เคยคิดอย่างนั้นก็เริ่มเข้ามารับฟัง เริ่มมานั่งใกล้ๆ และเข้าร่วมโครงการ เริ่มถามว่ามันต่างกันอย่างไร บางคนยกมือถามเราเลยว่า ถ้าเป็นส.ส.แล้วนโยบายนี้(ประกันราคา 2 หมื่นบาท) จะทำได้จริงหรือไม่ เราก็จะบอกว่าข้าวคือนโยบายที่จะต้องทำก่อนอันดับแรก” แม่สะอิ้งระบุ

ไม่เพียงเท่านั้น นโยบายต่อมาของพรรคภูมิใจไทย ยังมีเรื่องการเอาน้ำเข้านา ซึ่งชาวบ้านเค้าก็คิดว่าเราจะทำไม่ได้ ทั้งที่ประเทศไทยมีน้ำมากที่สุด มีลำห้วยมากมาย แต่เอาน้ำมาไม่ได้ เราก็อธิบายว่าเรามีนโยบายเหมือนถังพักน้ำ โดยใช้วิธีสร้างเสาพักน้ำทำแบบมีเทคโนโลยีดูดน้ำขึ้นไปแล้วกระจายออกไปสู่ ไร่นา 

นโยบายที่สาม คือเรื่องของสิทธิทำกินในที่ดิน ทั้งที่ชาวบ้านอีสานอยู่ตรงนั้นแต่ไม่เคยมีสิทธิ ไม่เคยได้รับรอง ทั้งที่อยู่มาก่อนแต่ภายหลังราชการบอกเป็นพื้นที่ป่าสงวน เราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านได้สิทธิถาวร จากปัจจุบันเขามีสิทธิในฐานะที่ทำกินชั่วคราว อยู่ได้ 5 ปีก็โดนไล่ ก็เขาเคยอยู่ตรงนั้นจะไล่ไปไหน ชาวบ้านเขาก็ไม่มีที่ไป 

เราจะใช้นโยบายที่ออกเอกสารสิทธิให้ โดยกรมป่าไม้ , สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกรมที่ดิน ต้องมานั่งคุยกัน โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นตัวกลาง คิดว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คนอีสานก็ไม่จำเป็นต้องมาทำงานในกทม. เพราะตอนนี้คนเดือดร้อนจากเรื่องนี้มีนับ 10 ล้านครอบครัว

จริงๆแล้วหากย้อนไปดูที่ผ่านมา มติครม.เมื่อปี 2542  ที่สั่งให้กระทรวงมหาดไทยยกเลิกการเพิกถอนสิทธิคนที่อยู่มาก่อนหรืออยู่ อาศัยเดิม แต่ผู้ปฏิบัติไม่ได้ทำอย่างไร เขาไม่ได้กลัวชาวบ้าน ดังนั้น รัฐมนตรีที่ทำเรื่องนี้ต้องมีประสบการณ์ ต้องขยัน ต้องมาช่วยตรงนี้ได้ อยากให้ข้าราชการทำตามระเบียบด้วย 

“ถ้าเราไปชุมนุมก็จะได้แต่มติที่ประชุมหรือมติคณะรัฐมนตรี  ไม่มีอะไรมารับรองว่าจะนำไปปฏิบัติจริง  เหมือนเป็นนักการเมืองข้างถนน  ดังนั้น ถ้านโยบายการเมืองจริงๆคือเราต้องเข้าไปแก้เอง จะไปประสานเชื่อมโยงให้ทุกคนเข้าใจถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านให้ได้” แม่สะอิ้งระบุ

ขณะที่ นายคำตา แคนบุญจันทร์ ผู้สมัครสส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับ 25 พรรคภูมิใจไทย ในฐานะอดีตแกนนำสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน ได้สะท้อนภาพการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยเฉพาะในภาคอีสานว่า วันนี้  คนอีสานบางครั้งยังหลงทางไปเยอะ เพราะการโปรโมตในทางผิดๆ ดังนั้น ต้องมาติดอาวุธทางปัญญารวมถึงให้ข้อเท็จจริงว่า การสร้างชาติบ้านเมืองต้องทำอย่างไร และอยากเตือนสติให้ดูว่าสิ่งที่พูดไปนั้นทำจริงได้อย่างไร

“อยากฝากเตือนสติเตือนใจ ให้ดูว่าการกระตุ้นเที่ยวนี้ ทำไปเพื่อความอยู่รอดของประชาชน หรือต้องการคล้องคอพวกเรา และอยากฝากว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำจะทำให้ประชาชนเสียหายอย่างไร เพราะตัวเองเคยมีประสบการณ์ เพราะเจอกับตัวเองมาแล้ว ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นอยากให้จบอยู่ที่ผม เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ รวมทั้งอย่ามองคนจนเป็นหนูลองยา หรือเป็นที่รองบ่า เพื่อก้าวไปสู่อำนาจ”

นายคำตา กล่าวว่า กระแสข่าวว่ามีหมู่บ้านเสื้อแดงเต็มพื้นที่ภาคอีสาน ก็เป็นเพียงการสร้างกันขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้แกนนำอยู่รอด โดยปลุกค่าความนิยมแบบผิดๆให้กับประชาชน ซึ่งคนที่เคลื่อนไหวกันจริงๆไม่ทำอย่างนั้น  ดังนั้น แกนนำต้องควรสังเคราะห์ว่า สิ่งที่อยู่นั้นดีหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ หากให้มองว่ามีหมูบ้านเสื้อแดงมากหรือน้อยในพื้นที่ภาคอีสาน ตอบได้เลยว่าไม่เกิน 0.5 % และหากแบ่งเป็นเขตเรคโซน คือ จ.อุดรธานี หากมองในฐานะประชาชนแค่เพียง 0.1 % เท่านั้น พูดโดยไม่ใส่ร้ายป้ายสี เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะมีหมู่บ้านเสื้อแดงมากมายขนาดนั้น

Tags : เปิดใจ รากหญ้า ภูมิใจไทย แม่สะอิ้ง คำตา

view