จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...สมผล ตระกูลรุ่ง นักวิชาการกฎหมายอิสระ

การประกาศเตือนภัยการก่อการร้ายของสถานทูตพญาอินทรี-สหรัฐอเมริกา สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับการท่องเที่ยวของไทย

การประกาศของอเมริกาในลักษณะอย่างนี้ ผู้ที่รู้จักธาตุแท้ของอเมริกา พญาอินทรีที่ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก จะเข้าใจดีว่า มี 2 นัย คือ

1.การข่าวของอเมริกาเป็นที่เชื่อได้ว่ามีความพยายามที่จะก่อการร้ายจริง และไม่เชื่อถือฝีมือของรัฐบาลของไทยว่าสามารถจัดการได้

2.อเมริกามีเจตนาที่จะทำลายการท่องเที่ยวของไทย

หลังการประกาศเตือนการก่อการร้ายของสถานทูตอเมริกา ก็มีข่าวการจับกุมชายชาวเลบานอนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้ในเวลา อันรวดเร็ว ชายชาวเลบานอนถูกจับกุมในข้อหามียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง ไม่ได้ตั้งข้อหาผู้ก่อการร้าย ทำให้ผมต้องไปดูกฎหมายเรื่องความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมาย อาญา ที่แก้ไขเพิ่มเติมในยุคที่นายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ เมื่อปี พ.ศ. 2546

ประมวลกฎหมายอาญาได้เพิ่มความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายไว้ 4 มาตรา ในลักษณะที่ 1/1 ตั้งแต่มาตรา 135/1 ถึง 135/4 สาระสำคัญของการก่อการร้ายอยู่ที่ 2 มาตราแรก คือ

“มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้

(1) ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ

(2) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(3) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาล ไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอัน เป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

มาตรา 135/2 ผู้ใด

(1) ขู่เข็ญว่าจะกระทำการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการตามที่ขู่เข็ญจริง หรือ

(2) สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้ว|กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้

ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท”

ผมยกตัวบทกฎหมายมาทั้งมาตรา ผู้ไม่ใช่นักกฎหมายหรือไม่คุ้นเคย อาจจะอ่านยากบ้าง แต่เชื่อว่าคนทั่วไปก็อ่านกฎหมายให้เข้าใจได้

ไม่ว่าระเบิดที่เตรียมไว้ จะนำไปใช้ที่ถนนข้าวสาร หรือสถานทูตอิสราเอลที่ถนนสุขุมวิท หรือนำไปใช้ในต่างประเทศ ล้วนเป็นความผิดฐานก่อการร้ายตามมาตรา 135/1 ทั้งสิ้น เพราะการก่อให้เกิด “ความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือของบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ” และย่อมเป็นการกระทำ “เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน” อย่างแน่นอน และแม้จะยังไม่ลงมือกระทำความผิด มาตรา 135/2 กฎหมายก็ยังบัญญัติให้การสะสมอาวุธ การตระเตรียมการ หรือรู้ว่าจะมีการก่อการร้ายแล้วปกปิด ก็เป็นความผิดแล้ว

การเตรียมปุ๋ยที่จะใช้ประกอบระเบิด ย่อมเข้าขั้นเป็นการเตรียมการแล้ว มีโทษจำคุกสองถึงสิบปี

ทำไมจึงไม่จับกุมโดยตั้งข้อหานี้

นอกจากนี้ ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ของไทยแถลงก็ยังไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริง เช่น คนร้ายไม่ได้เตรียมการเพื่อก่อการร้ายในประเทศไทย แต่เตรียมไว้เพื่อที่จะขนเอาไปใช้ในต่างประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายท่านสงสัยว่าทำไมผู้ก่อการร้ายจึงโง่อย่างนี้ การขนวัตถุระเบิดผ่านประเทศไปอีกประเทศหนึ่ง มีความเสี่ยงมากเพียงใด แม้ว่าการขนออกจากประเทศไทยอาจจะง่ายเพราะใช้เงินหว่านได้ แต่การนำเข้าประเทศอื่นจะง่ายเหมือนของไทยหรือไม่ ทำไมจึงทำอะไรที่เป็นความเสี่ยงอย่างนี้

จนถึงวันนี้สถานทูตสหรัฐอเมริกายังไม่ยอมถอนประกาศเตือนพลเมืองของตน

การประกาศของอเมริกามหามิตร จะทำไปด้วยเหตุผลใด ท่านผู้อ่านคงต้องคิดกันเอาเอง

สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี