ปรีดิยาธร'จวกนักการเมืองขาดหิริโอตัปปะ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ปริดิยาธร"จวกนักการเมืองไทยขาด"หิริโอตัปปะ" ละอายต่อการทำชั่ว กลัวต่อการทำบาป ยกกรณีจำนำข้าว เสียหายยับ แต่รัฐบาลนิ่ง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา "วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง" ตอนหนี่งว่า ห่วงการดำเนินนโยบายประชานิยมของละอาย เพราะนัการเมืองในปัจจับัน ไม่มีหิริโอตัปปะ หรือกควาสมละอายต่อการทำชั่ว กลัวต่อการทำบาบ
ทั้งนี้ ยกตัวอย่างกรณีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายนับแสนล้านบาท แต่รัฐบาลยิ่งนิ่งเฉย คิดว่าตัวเองมีเสีียงข้างมาก 2 ใน 3 ในสภาไม่เห็นต้องกังวล
"ผมมองว่าความละอายใช้กลไกบังคับไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายบังคับ"
อ่านบทความเพิ่มเติม
จี้รัฐเลิกประชานิยม หวั่นหนี้สาธารณะพุ่ง
หม่อมอุ๋ย” เตือนสัญญาณร้ายหนี้สาธารณะพุ่ง 65.96% ต่อจีดีพี แนะรัฐบาลเลิกประชานิยม
จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ห่วงหนี้สาธารณะไทยเพิ่มเป็น 65.96% ต่อจีดีพี ในปี 2562 แนะรัฐบาลหยุดโครงการประชานิยม พร้อมระบุโครงการจำนำข้าวส่อแนวโน้มขาดทุนบักโกรกปีละ 1.4-1.7 แสนล้าน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการสัมมนา “วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง” โดยยอมรับว่า ตนเองมีความกังวลต่อหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 44 ต่อจีดีพี ในขณะที่รัฐบาลไม่แสดงความกังวลต่อเรื่องดังกล่าว แต่หากมองถึงการใช้จ่ายภาครัฐในหลายโครงการ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งนโยบายประชานิยมต่างๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีแนวโน้มขาดทุนเพิ่มขึ้นปีละ 1.4-1.7 แสนล้านบาท จะส่งผลต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 65.96 ในปี 2562
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่รัฐบาลดำเนินการซึ่งมีผลต่อหนี้สาธารณะ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก โครงการบ้านหลังแรก จึงเห็นว่ารัฐบาลควรจะทบทวน และหยุดดำเนินโครงการบางอย่าง เช่น โครงการรับจำนำข้าว
หม่อมอุ๋ยเตือนรัฐระวังหนี้ท่วม
จาก โพสต์ทูเดย์
ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเตือนรัฐบาลระวังหนี้สาธารณะท่วมจากนโยบายประชานิยม ชี้ อาจถึง 65%ของจีดีพีในปี62 แนะหยุดโครงการรับจำนำข้าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนาวิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลังว่า ส่วนตัวมีความกังวลต่อหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แต่รัฐบาลกลับยังไม่แสดงความกังวลต่อเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้การใช้จ่ายภาครัฐในหลายโครงการ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โครงการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งนโยบายประชานิยมต่างๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าวนั้น มีแนวโน้มขาดทุนเพิ่มขึ้น ปีละ 1.4-1.7 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีโดยจะเพิ่มขึ้น เป็น65% ของจีดีพี ในปี 2562
"ขณะนี้รัฐบาลควรจะทบทวนและหยุดดำเนินโครงการบางอย่าง เช่น โครงการรับจำนำข้าว"ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว
ก่อนหน้านี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (ทีดีอาร์ไอ) คาดการณ์แนวโน้มหนี้สาธารณะของประเทศไทยว่ามีความเสี่ยงที่จะมีหนี้สาธารณะ สูงถึง 70-80%ของจีดีพี โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากโครงการรับจำนำข้าวที่ประสบภาวะขาดทุน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท และการใช้จ่ายภาครัฐ
ธีระชัย'แนะไทยควรกำหนดหน้าผาการคลัง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ธีระชัย"อดีตขุนคลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลกำหนดหน้าผาการคลัง แก้รัฐธรรมนูญ ปิดช่องใช้เงินนอกงบได้เฉพาะในกรณีฉุกเฉิน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา "วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง" ตอนหนึ่งว่า การดำเนินนโยบายประชานิยมของรัฐบาล ต้องกำหนดกรอบกติกาชัดเจนว่าจะหารายได้มาชดเชยอย่างไร
นอกจากนี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังระบุด้วยว่า ควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อปิดช่องการใช้เงินนอกงบประมาณ โดยเขียนกรอบกติกาให้ชัดเจนว่าจะใช้ได้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องมีการกำหนดหน้าผาการคลัง เพื่อป้องกันให้รัฐบาลไม่ใช่นโยบายประชานิยม จนกระทบต่อวินัยการคลัง
'กอบศักดิ์'ห่วงมาร์เก็ตติ้งเซลประชานิยม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"กอบศักดิ์"ห่วงรัฐบาลโหม "มาร์เก็ตติ้งเซล ประชานิยม" ดันหนี้สาธารณะพุ่ง
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและตลาดทุน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา "วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง" ตอนหนึ่งโดยระบุว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งพรรคการเมืองต่างๆ จะมีการแข่งขันนโยบายประชานิยม หรือ Marketting Sale ประชานิยม ซึ่งในอดีตพูดกันแล้วไม่ทำ แต่ปัจจุบันแล้วพูดไปแล้วต้องทำ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะนโยบายประชานิยมกระทบกับภาระงบประมาณรายจ่ายของประเทศ และส่งผลกับภาระหนี้สาธารณะ
ส่วนที่รัฐบาลมีนโยบายลงทุนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และโครงการบริหารจัดการน้ำ ณ ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี ทำให้สามารถเป็นหนี้ได้มากขึ้น
"หนี้ที่เกิดขึ้นเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจดี และทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 50% ถือว่ายังไม่น่าห่วง แต่สิ่งที่ห่วงคือ ในอนาคต หากเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามคาด หากเศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติ อีกรอบ ปัญหาจะตามมา"
นิพนธ์'แนะออกก.ม.บีบรัฐบาลแจงภาระหนี้
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ทีดีอาร์ไอแนะออกฏหมายบีบรัฐบาลเปิดเผยภาระหนี้ผูกพันในนาคต ป้องกันวิกฤติหนี้สาธารณะ เตือนใช้เงินนอกงบผ่านแบงก์รัฐ ระวังก่อวิกฤติ
นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา "วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง" ตอนหนี่ง โดยระบุว่า แนวทางการสร้างวินัยการคลัง ต้องบังคับให้รัฐบาลเปิดเผยภาระหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้ นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ยังแสดงความกังวลกับการใช้จ่ายเงินนออกงบประมาณของภาครัฐ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการประชานิยม โครงการพักชำระหนี้ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งถือเป็นกิจการกึ่งการคลัง ที่สำคัญคือ ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา
"เรื่องนี้ถือเป็นการใช้เงินนอกงบ เป็นกิจการกึ่งการคลัง ซึ่งในอนาคตจะเป็นความเสี่ยงทางการคลัง และอาจก่อให้เกิดวิกฤติหนีั้ในอนาคต"
โดยกฎหมายที่ออกมาต้องกำหนดให้รัฐบาลทำบัญชีที่โปร่งใส ให้บทบาทรัฐสภา ตรวจสอบการใช้งบกึ่งการคลัง ได้อย่างโปร่งใส เพื่อการสร้างวินัยการคลัง และเปิดเผยขอมูลอย่างโปร่งใส
แนะต่อยอดประชานิยมเป็นรัฐสวัสดิการ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นักวิชาการจุฬาฯแนะรัฐบาลต่อยอดโครงการประชานิยมเป็นรัฐสวัสดิการ พร้อมเสนอให้มีการจัดลำดับความสำคัญคนที่จะเข้าถึงรัฐสวัสดิการ
ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวในงานสัมมนา "วิพากษ์นโยบายประชานิยมต่อเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง" ตอนหนี่ง โดยระบุว่า รัฐบาลควรพัฒนาแนวคิดการดำเนินนโยบายประชานิยม ส่วนหนึ่งไปต่อยอดให้เห็นระบบรัฐสวัสดิการ และที่สำคัญต้องมีการจัดลำดับสำคัญ ว่า กลุ่มไหนควรได้รับการช่วยเหลือ หรือรัฐสวัสดิการ
นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างถึงความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมหรือการให้สวัสดิการรัฐว่า ในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ได้ประโยชน์ด้านสิทธิภาษี ตกอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนรวยทั้งนั้น ดังนั้น ควรมีการวางกรอบการให้ความช่วยเหลือ
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน