หนี้เสียแห่งปี "สหวิริยา" แบงก์ป่วน เศรษฐกิจป่วน
จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...เสาวรส รณเกียรติ
ถือเป็นสินเชื่อที่มีปัญหาก้อนใหญ่แห่งปีก็ว่าได้ เมื่อบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ประกาศหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนที่โรงงานเอสเอสไอทีไซด์ ซึ่งเป็นธุรกิจโรงถลุงเหล็กของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค (SSI UK) บริษัทย่อยของ SSI
การปิดโรงงานดังกล่าวส่งผลให้ธนาคาร 3 แห่ง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารทิสโก้ ประกาศกันสำรองหนี้ที่ปล่อยกู้ให้ SSI UK วงเงินรวม 2.64 หมื่นล้านบาท แบบเต็มจำนวนหนี้ที่ปล่อยกู้ หรือ 100% และจะมีการตัดหนี้สูญด้วย
ยังไม่นับผลกระทบที่เกิดกับเม็ดเงินที่ปล่อยกู้ให้ SSI บริษัทแม่ของ SSI UK ด้วย ทั้งในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้และความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงจากรายได้ที่หายไปจากการปิดโรงงานถลุง ทำให้ธนาคารทั้ง 3 แห่ง อาจจะต้องจัดชั้นหนี้ SSI ให้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล
โดยธนาคารทั้ง 3 แห่งปล่อยกู้ให้ทั้ง SSI และ SSI UK รวมแล้วประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิเคราะห์จากคำแถลงของ ญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ระบุว่า การตั้งสำรองเต็มจำนวนหนี้ที่ปล่อยกู้ให้ SSI UK ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “หลักประกันที่มีอยู่จะถูกตีมูลค่าเป็นศูนย์” ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้สองบริษัทเต็มจำนวนประมาณ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับ อรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ ระบุว่า การตั้งสำรองหนี้เต็ม 100% ของธนาคารในส่วน SSI UK ราว 3,570 ล้านบาทนั้น หลักประกันถูกกำหนดมูลค่าเป็นศูนย์ เพราะไม่สามารถประเมินราคาได้
และหากย้อนไปเมื่อปี 2555 ที่มีการปล่อยสินเชื่อก้อนใหญ่ให้ SSI ไปซื้อโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษนั้น ธนาคารเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มี วิชิต สุรพงษ์ชัย ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร กับ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ที่เป็นกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทยในขณะนั้น และปัจจุบันเป็น รมว.คลัง ได้ร่วมกันพิจารณาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้โครงการนี้อย่างไร รวมทั้งมีระบบคัดกรองลูกค้าเพื่อปล่อยสินเชื่อมากน้อยแค่ไหน จึงยอมปล่อยกู้ลูกค้ารายนี้จนต้องตัดหนี้สูญ 100% และไม่สามารถยึดหลักทรัพย์มาขายทอดตลาดเพื่อลดความสูญเสียของธนาคารได้
ทั้งที่ ธุรกิจของ SSI UK เป็นโรงถลุงเหล็ก ที่มีโรงงาน ที่ดิน อุปกรณ์และเครื่องจักรต่างๆ เป็นหลักประกันให้ธนาคารยึดเพื่อชำระหนี้ได้ ซึ่งจะลดความสูญเสียในการตั้งสำรอง
การตีมูลค่าประกันเป็นศูนย์แสดงว่าโรงงานถลุงเหล็ก ที่ดิน เครื่องจักรอุปกรณ์ในโรงถลุงเหล็กของ SSI UK ไม่มีมูลค่าเหลือเลย ซึ่งอาจจะเป็นด้วยหลายสาเหตุ เช่น ติดกฎหมายการซื้อกิจการหรือขายทอดตลาดสินทรัพย์ของอังกฤษ ปัญหากฎหมายแรงงาน หากมีการยึดโรงงานมา ฯลฯ
ขณะที่ วิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SSI บริษัทแม่ของ SSI UK ยังระบุว่า ธุรกิจของ SSI UK ที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนเมื่อ 4 ปีก่อนประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง แม้จะพยายามลดต้นทุนไปแล้ว 30%
ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ธนาคารผู้ปล่อยกู้ทั้ง 3 แห่ง มีการวิเคราะห์สินเชื่อและความเป็นไปได้ของโครงการมากน้อยแค่ไหนจึงกล้าปล่อยกู้เป็นหมื่นล้านบาท แต่สุดท้ายสินทรัพย์หลักประกันอย่างโรงงาน ที่ดิน ที่อยู่ในอังกฤษกลับมีมูลค่าเป็นศูนย์ ขณะเดียวกันกิจการนี้ยังประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง แม้ว่าโดยปกติการซื้อกิจการในต่างประเทศจะประสบผลขาดทุนในช่วงต้น แต่ก็ต้องวิเคราะห์ระยะเวลาการคุ้มทุนและกำไรก่อนให้กู้ เพื่อให้กิจการสามารถชำระหนี้ได้
นอกจากนี้ ขนาดของความเสียหายจากการปล่อยสินเชื่อให้ SSI และ SSI UK ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 3 แห่งที่ล้วนมีปัญหาสินเชื่อชะลอตัวและคุณภาพสินเชื่อที่ย่ำแย่ลงจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว
ในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ แม้หนี้เสียก้อนนี้คิดเป็นสัดส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ แต่ก็ต้องขายเงินลงทุนในพอร์ตมาชดเชยการตัดหนี้สูญ 1.1 หมื่นล้านบาท ทำให้สูญเสียโอกาสการหาผลประโยชน์จากเงินลงทุนก้อนมหาศาลนั้น รวมทั้งธนาคารยังมีภาระต้องแก้ปัญหาโครงสร้างหนี้ของ SSI ที่ถูกกระทบจากการปิดโรงถลุงเหล็กและราคาเหล็กที่เป็นธุรกิจหลักของ SSI ลดต่ำลงด้วย
และต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านั้นภาพลักษณ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ถูกกระทบจากการที่ต้องกันเงินไว้ 1,500 ล้านบาท เพื่อดูแลความเสียหายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) หลังจากพบว่ามีพนักงานของธนาคารเมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตใน สจล.
สำหรับธนาคารกรุงไทยเองต้องตัดหนี้สูญและกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้นอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อธนาคารกรุงไทยพอสมควร เพราะต้องใช้เงินกันสำรองส่วนเกินที่มีอยู่มากันสำรองหนี้ส่วนนี้ ทำให้สัดส่วนอัตราเงินสำรองต่อหนี้สงสัยจะสูญ (Coverage Ratio) ที่เดิมมีอยู่ 125% ลดลงเหลือกว่า 90% ธนาคารจึงต้องตั้งสำรองเพิ่มพิเศษในช่วงที่เหลือของปี เพื่อให้สัดส่วนสำรองปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นไม่ต่ำกว่า 100% ภายในปีนี้
ขณะเดียวกันเอ็นพีแอลของธนาคารกรุงไทยก็เพิ่มขึ้นอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท จาก 6.3 หมื่นล้านบาท เมื่อสิ้นเดือน ส.ค. ส่งผลให้สัดส่วนเอ็นพีแอลปรับขึ้นจาก 2.9% ของสินเชื่อรวมเมื่อสิ้นไตรมาส 2 เป็น 3.5% ในสิ้นไตรมาส 3 และเอ็นพีแอลสุทธิปรับขึ้นจาก 1.5% ในไตรมาส 2 เป็น 1.7% ณ สิ้นไตรมาส 3
เช่นเดียวกับธนาคารทิสโก้ที่นอกจากต้องตั้งสำรองหนี้ 3,750 ล้านบาทแล้ว ยังทำให้เอ็นพีแอลของธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 0.34% ด้วย
ผลสะเทือนอีกประการ คือบทเรียนจากปัญหาหนี้เอ็นพีแอลรายใหญ่ก้อนนี้ เชื่อว่าจะทำให้หลังจากนี้ทุกธนาคารในระบบต้องหันมาเข้มงวดกับระบบคัดกรองลูกค้าสินเชื่อและความเป็นไปได้ของโครงการมากขึ้น รวมทั้้งความกังวลต่อคุณภาพสินทรัพย์ของระบบธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่ปล่อยกู้ไปก่อนหน้า จากเดิมที่ธนาคารต้องเผชิญกับปัญหาการด้อยค่าในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี สินเชื่อรายย่อย สินเชื่อบุคคล เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ซึ่งอาจส่งผลให้แต่ละธนาคารต้องกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น จนทำให้ธนาคารพาณิชย์ยิ่งต้องลดบทบาทในการเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการปล่อย
สินเชื่อ ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยซึมไปอีกนาน
โรงเหล็กเจ๊งส่อทำทิสโก้ขาดทุนยับ อาจฉุดกำไรทั้งกลุ่มทรุดฮวบกว่า 10%
โรงเหล็กเจ๊งส่อทำทิสโก้ขาดทุนยับ อาจฉุดกำไรทั้งกลุ่มทรุดฮวบกว่า 10% ธปท.ชี้ดันเอ็นพีแอลในระบบเพิ่ม 2.86%
คาดปิดโรงถลุงเหล็กสหวิริยายูเคฉุดกำไร 3 แบงก์วูบหนัก ทิสโก้หนักสุดอาจถึงขั้นขาดทุนไม่ต่ำกว่า 200 ล้าน ขณะที่กรุงไทยกำไรหายจ้อยกว่า 60% แถมฉุดกำไรกลุ่มแบงก์ลดฮวบ ธปท.เผยดันเอ็นพีแอลเพิ่มแต่ไม่กระทบภาพรวม
จากกรณีที่บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือเอสเอสไอ ประกาศให้บริษัทย่อย คือ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด หยุดถลุงเหล็กแบนชั่วคราว เนื่องจากราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงมากจนไม่สามารถทำกำไรได้ ทำให้ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของเอสเอสไอ 3 แห่ง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคากรุงไทย และธนาคารทิสโก้ ที่มีมูลหนี้รวม 5.27 หมื่นล้านบาท ได้รับผลกระทบและต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นนั้น
นางอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า ธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากการสำรองหนี้จากกรณีที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือธนาคารทิสโก้ เพราะยังไม่เห็นกลยุทธ์ที่จะนำรายได้อื่นมาชดเชยการตั้งสำรอง ซึ่งธนาคารจะต้องกันสำรองหนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งกระทบต่อกำไรสุทธิไตรมาส 3/2558 แน่นอน โดยคาดว่าจะขาดทุนประมาณ 100-200 ล้านบาท จากที่ไตรมาส 1 และ 2 มีกำไร 1,100 ล้านบาท และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคาดว่าทั้งปี 2558 ทิสโก้จะมีกำไรเพียง 2,987 ล้านบาท ลดลง 29.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เชื่อว่าในปีหน้ากำไรจะพลิกกลับมาเติบโตที่ 47.3%
นางอุษณีย์กล่าวว่า ส่วนธนาคารกรุงไทยจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับ 2 คาดว่าในไตรมาส 3 กำไรจะหายไปไม่น้อยกว่า 64.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือมีกำไรเพียง 3,000 ล้านบาท แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 จะลดลง 67.6% แม้ว่าธนาคารจะสำรองหนี้ส่วนเกินอยู่ที่ 2.64 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิปี 2558 จะลดลง 33.2% หรืออยู่ที่ 22,764 ล้านบาท
"ธนาคารไทยพาณิชย์จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะมีแผนกันสำรองหนี้สูงสุดถึง 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารจะใช้ประโยชน์จากกำไรจากการขายเงินลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาทเข้ามาช่วยบรรเทาผลกระทบ โดยคาดว่าไตรมาส 3/2558 จะมีกำไร 1.08 หมื่นล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 18.2% และลดลงจากปีก่อนหน้า 18.4% กำไรทั้งปีจะหดตัว 11.6% โดยมีกำไรที่ 4.71 หมื่นล้านบาท" นางอุษณีย์กล่าว
นางอุษณีย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรในปีนี้ของกลุ่มธนาคารใหม่ โดยคาดว่าจะลดลงอีก 3.5% ทำให้ปี 2558 กลุ่มธนาคารจะมีกำไร 183,108 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 11.5% แต่จะพลิกกลับมามีกำไรโต 17.6% ในปี 2559 เพราะแนวโน้มการตั้งสำรองหนี้ของกลุ่มกลับมาเป็นปกติ โดยจะมีกำไรที่ 215,381 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2558 ของ เอสเอสไอ น่าจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ถึงแม้ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้นเพราะบริษัทยังต้องแบกรับผลขาดทุนของธุรกิจต้นน้ำคือโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ
นายรณดลนุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ประเมินผลกระทบจากกรณีดังกล่าวแล้วพบว่าจะทำให้ยอดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของระบบเพิ่มขึ้นจาก 2.46% มาเป็น 2.86% ซึ่งคาดว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโดยรวม เพราะธนาคารทั้ง 3 แห่งมีการกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้นมาเพียงพอรองรับภาระหนี้ดังกล่าว
ที่มา : นสพ.มติชน
โบรกหั่นกำไรแบงก์ปีนี้ต่ำ 2 แสนล. SSI พ่นพิษ 3 เจ้าหนี้ NPL กระฉูดแบกภาระสำรองหนัก
โบรกฯคาดการณ์กำไรสุทธิกลุ่มแบงก์ Q3/58 ร่วงหนัก สินเชื่อโตต่ำ 1% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิต่ำ 3% แบกภาระตั้งสำรองฯเพิ่มตาม NPL พุ่ง เผย 3 แบงก์อ่วมพิษ SSI ตั้งสำรองเพิ่ม ฉุดกำไรกลุ่มแบงก์ 2 โบรกฯปรับลดกำไรกลุ่มแบงก์ปี′58 ลงต่ำ 1.6-2 แสนล้านบาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) ในไตรมาส 3/58 คาดว่ากำไรสุทธิของกลุ่มน่าจะลดลง เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2/58 ที่ทำได้ 51,572 ล้านบาท และจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 54,272 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของแต่ละแบงก์ที่เพิ่มมากขึ้น ตามปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO) ในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ที่มีบริษัทย่อยในอังกฤษ ในชื่อ SSI UK ซึ่งต้องหยุดดำเนินการไป และมีหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) เกิดขึ้น จนต้องตั้งสำรองเพิ่มจากปกติ ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับต่ำจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ
สินเชื่อรวม Q3 โตไม่ถึง 1%
การขยายตัวของสินเชื่อในไตรมาส 3 /58 คาดว่าเติบโตไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตเพื่อการส่งออกยังได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวอย่างมาก และบางรายต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ส่วนสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ทรงตัว จากโครงการภาครัฐของเดิมที่มีอยู่ ส่วนโครงการลงทุนภาครัฐใหม่ ๆ ถูกเลื่อนออกไป
ด้านเงินฝากมีการขยายตัวไม่มากเช่นกัน เนื่องจากแบงก์ยังไม่ได้เร่งระดมเงินฝากเข้ามา เพราะจะเป็นภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น
"จึงคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของทั้งระบบน่าอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ 2.9% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 3.2% ส่วนเอ็นพีแอลภาพรวมน่าจะมีสัดส่วนราว 3.4% ของสินเชื่อทั้งระบบ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ 3.2% ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งคาดว่าสถานการณ์หนี้เสียหรือเอ็นพีแอลจะทรงตัวในระดับนี้ไปถึงสิ้นปี และลดลงอย่างชัดเจนในปีหน้า" นายวรุตม์กล่าว
ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) โดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นายวรุตม์ประเมินว่า กลุ่มบริษัทย่อยทั้ง บล. และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ก็ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่หดตัว
ลุ้นมาตรการรัฐหนุนผลงาน Q4
สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานของกลุ่มแบงก์ในช่วงไตรมาส 4/58 คาดการณ์ว่ามีโอกาสที่กำไรจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแต่ละแบงก์จะสามารถปล่อยกู้ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของภาครัฐ อีกทั้งไตรมาส 4 ยังเป็นช่วงรับออร์เดอร์ของกลุ่มธุรกิจส่งออกที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้เอ็นพีแอลของสินเชื่อเอสเอ็มอีปรับตัวลดลงและกลับมาฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าในช่วงดังกล่าวแต่ละแบงก์ไม่น่าจะมีการตั้งสำรองพิเศษเข้ามากดดันเพิ่มเติมแล้ว
โบรกฯชี้SSI ฉุดกำไรแบงก์
บทวิเคราะห์ของ บริษัท ฟิลลิป แคปปิตอล ระบุว่า จากการหยุดการผลิตของ SSI UK ทำให้ธนาคารเจ้าหนี้ทั้ง 3 ราย คือ SCB KTB และ TISCO จะต้องจัดชั้นสินเชื่อที่ให้กับกลุ่ม SSI เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และต้องตั้งสำรองเพิ่มในไตรมาส 3/58 โดยเป็นการตั้งสำรอง 100% ในส่วนของสินเชื่อที่ให้กับ SSI UK และตั้งสำรองบางส่วนในสินเชื่อที่ปล่อยให้กับ SSI ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายหลังตั้งสำรองแล้วจะเห็นการตัดหนี้สูญออกจากงบการเงินเลย ซึ่งจะทำให้ NPL ไม่สูงมาก และหาก SSI สามารถขาย SSI UK ได้ และชำระหนี้คืน จะทำให้ทั้ง 3 ธนาคารมีกำไรพิเศษจากหนี้สูญ
"ผลกระทบทั้งหมดจะทำให้กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารลดลง 5.8% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.1 แสนล้านบาท จะเหลือ 2 แสนล้านบาท ซึ่งลดลง 2.6% จากปี 2557" บทวิเคราะห์บริษัท ฟิลลิป แคปปิตอลระบุ
ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ระบุว่า ปัญหาหนี้ SSI กลับมาเป็นประเด็นลบต่อกลุ่มธนาคารอีกครั้ง จึงได้มีการปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิลง เพื่อสะท้อนประเด็นดังกล่าว โดย 3 ธนาคารเจ้าหนี้จะได้รับผลกระทบมากที่สุด พร้อมกันนี้ยังระบุปัจจัยเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอกว่าที่คาด ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ ซึ่งจะนำมาสู่การตั้งสำรองที่สูงอันเซอร์ไพรส์เชิงลบต่อตลาด ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรรวมของกลุ่มแบงก์ 8 แห่ง อยู่ที่ 1.67 แสนล้านบาท
กรุงไทยชงบอร์ดตั้งสำรองพิเศษ
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า จากกรณีหนี้กลุ่ม SSI ธนาคารได้ตีมูลค่าหลักประกัน SSI ในไทยได้แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท รวมทั้งทยอยตั้งสำรองล่วงหน้าไว้ 10,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งยังเหลือภาระสำรองเพิ่มเติมอีกประมาณ 9,000 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 3 นี้
อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะพยายามรักษาระดับสำรองส่วนเกินให้ไม่ต่ำกว่า 100% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 125% และในไตรมาส 3/58 นี้จะพิจารณาตั้งสำรองทั่วไปเพิ่มเติม และอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิในไตรมาส 3/58 ให้ลดลงประมาณ 6,000 ล้านบาท และทำให้กำไรปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำไว้ได้ที่ 33,100 ล้านบาท
"ทิศทางในครึ่งปีหลัง เราไม่เน้นขยายสินเชื่อ แต่จะโฟกัสคุมปัญหาหนี้ NPL มากขึ้น และเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มอีก ปีนี้สินเชื่อคงโตได้แค่ 3% และในปีนี้กำไรเราอาจไม่ดีกว่าปีก่อน โดย NPL ที่เพิ่มขึ้น อาจต้องตั้งสำรองมากขึ้นกว่าปกติ โดยธนาคารจะมีประชุมบอร์ดภายในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อสรุปตัวเลขกันสำรองอีกครั้ง และอาจตั้งสำรองพิเศษในช่วงเดือนนี้เลย จากเดิมที่คาดว่าจะทำในช่วงปลายปีนี้" นายวรภัคกล่าว
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน