จากประชาชาติธุรกิจ
คลังจัดแพ็กเกจเยียวย่ชุด 2 ชงครม.เศรษฐกิจ 7 มิ.ย.นี้ ชูมาตรการภาษี-ซอฟต์โลนเพิ่มวงเงิน 3-5 ล้านบาท/ราย ดอกเบี้ยคงที่ 3% ปลอดเงินต้น 2 ปี ไฟเขียวเจ้าของอาคารที่ถูกเผานำเงินลงทุนซ่อมแซมมาหักเป็นค่าเสื่อมได้ 2 เท่า พร้อมมาตรการภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยว สรรพากรเปิดช่องนำค่าใช้จ่ายเที่ยวไทยหักลดหย่อนภาษี 15,000 บาท ด้านกระทรวงท่องเที่ยวฯของบอีก 2 หมื่นล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการ ชุมนุม ซึ่งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะประชุมกันในวันจันทร์ที่ 7 มิถุนายนนี้ โดยจะพิจารณามาตรการช่วยเหลือทางภาษีและทางการเงิน ในส่วนการสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน จากเดิมให้วงเงิน 1 ล้านบาทนั้นจะพิจารณาขยายวงเงิน แต่เงื่อนไขผ่อนปรนจะน้อยลง รวมถึงมาตรการภาษีในแผนฟื้นฟูการ ท่องเที่ยวด้วย
"วาระเร่งรัด คือให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนและเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัว เพื่อชดเชยสิ่งที่เสียไปช่วง 2 เดือน และต้องเร่งส่งสัญญาณให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก เมื่อเศรษฐกิจฟื้นเราก็สามารถไปพูดกับต่างประเทศได้ง่ายขึ้น"
แหล่ง ข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งสรุปมาตรการเยียวยาชุดที่ 2 เสนอให้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจพิจารณา เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจต่อไป ในส่วนของคลังจะเสนอ 2 ส่วนคือ 1.มาตรการภาษีของกรมสรรพากร เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยจะเปิดให้ผู้เสียภาษีนำค่าใช้จ่ายจากการเดินทางภายในปี 2553 มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ในวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท
ส่วน ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมที่ส่งพนักงานไปฝึกอบรมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลงบัญชีเป็นรายจ่ายและนำไปหักภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง และยังเสนอให้นำค่าใช้จ่ายการจัดประชุมสัมมนา หรือออกบูทท่องเที่ยวภายในประเทศมาหักภาษีได้ 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง จากเดิมให้เฉพาะกรณีไปออกบูทต่างประเทศเท่านั้น
สำหรับผู้ประกอบการ ที่ได้รับเงิน ค่าสินไหม จากการทำประกันภัยจลาจล, ภัยก่อการร้าย, อัคคีภัยและเงินช่วยเหลือที่ได้รับจากบริษัทประกันภัย จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยกรมสรรพากรจะไม่ถือเป็นเงินได้ ส่วนบริษัทประกันภัย กรณีที่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้เอาประกันภัย ทั้ง ๆ ที่สัญญาในกรมธรรม์ไม่ได้ครอบคลุม บริษัทประกันภัยสามารถนำรายจ่ายนี้มาลงบัญชีรายจ่ายเพื่อหักภาษีเงินได้ นิติบุคคลได้
เจ้า ของอาคารที่ต้องลงทุนซ่อมแซมหรือตกแต่งอาคารที่เสียหายจากเพลิงไหม้ สามารถนำค่าใช้จ่ายหักค่าเสื่อมได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง นอกจากนี้รัฐบาลยังจัดตั้งกองทุนช่วยเหลืออีกทาง โดยผู้บริจาคเงินให้กองทุนดังกล่าวสามารถนำไปหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและ บุคคลธรรมดาได้ 2 เท่าของที่จ่ายไปจริง โดยกรมสรรพากรจะนำกองทุนดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงจะมีผลบังคับใช้
"มาตรการภาษีชุดนี้ คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมากนัก แต่ถ้าไม่มีมาตรการไปกระตุ้นหรือสนับสนุนให้ผู้ประกอบการลงทุนเพิ่มเติม น่าจะมีผลทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้มากกว่า เพราะผู้ประกอบการจะเลิกกิจการกันหมด ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานภาษีในระยะยาวด้วย" แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับ ส่วนที่ 2 เป็นมาตรการสนับสนุนทางด้านการเงินผ่านโครงการ SMEs POWER ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ชุดที่ 2 ต่อเนื่องจากโครงการแรกที่ให้วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการในเบื้องต้น ส่วนโครงการสินเชื่อ SMEs POWER ตัวใหม่นี้จะเป็นสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุน ปล่อยกู้รายละไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือไม่เกิน 5 ล้านบาท จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ผ่อนชำระ 6 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น 2 ปี แต่มีเงื่อนไขว่าผู้กู้จะต้องมีหลักทรัพย์มาวางค้ำประกันหรือมีผู้ค้ำประกัน และจะต้องมีการตรวจสอบประวัติในเครดิตบูโรด้วย
ก่อนหน้านี้รัฐบาล ได้จัดมาตรการเยียวยาชุดแรกเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ทางการเมือง โดยการมอบเงินช่วยเหลือให้กับผู้ที่ถูกเพลิงเผาไหม้รายละ 50,000 บาท พร้อมกับจัดโครงการสินเชื่อ SMEs POWER เข้าไปเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท รวมทั้งจัดหาสถานที่เปิดให้ค้าขายได้ชั่วคราว
นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงเตรียมเสนอที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจ 2 เรื่องใหญ่ คือการอนุมัติงบฯฟื้นฟูการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนให้แก่การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) วงเงิน 1,600 ล้านบาท และเรื่องที่สอง แพ็กเกจ งบฯเยียวยาหลังเหตุการณ์จลาจลเพิ่มใหม่ 21,500 ล้านบาท ผ่านธนาคารของรัฐ เพื่อนำมาใช้ทำมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศ กลุ่มธุรกิจรายขนาดกลางและย่อม (SMEs) 10,000 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่กว่ากลุ่มเอสเอ็มอีอีก 10,000 ล้านบาท และเงินกู้อาชีพอิสระ เช่นมัคคุเทศก์ 1,500 ล้านบาท
ครอบคลุมทั้ง 4 มาตรการ คือ 1.มาตรการเสริมสภาพคล่อง ขอให้เจรจากับธนาคารพาณิชย์ ขยายระยะเวลาชำระหนี้ 2.มาตรการด้านภาษี ลดทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม นำค่าใช้จ่ายจัดประชุมและสัมมนามาหักภาษี 3.มาตรการด้านแรงงาน ชดเชยเงินเดือนพนักงาน ยกเว้นเงินสมทบประกันสังคม ช่วยค่าใช้จ่ายรายเดือนแก่ผู้ประกอบการ และสนับสนุนงบฯฝึกอบรมพนักงาน และ 4.มาตรการอื่น ๆ เช่น จัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ให้มัคคุเทศก์ โดยขอเงินประเดิมจาก 10 ล้านบาท ขอลดค่าใช้จ่าย 50% เมื่อเข้าร่วมส่งเสริมงานขายในหน่วยงานภาครัฐ
ข้อเสนอสำคัญของ เอกชนท่องเที่ยวทุกกลุ่มอาชีพและกลุ่มสมาคมเห็นพ้องกันคือให้รัฐบาลยกเลิก ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารประเทศในภาวะฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) โดยด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นานาประเทศ
นายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2553 ได้มีจัดประชุมร่วมกับสมาคมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยได้สรุปข้อเสนอขอมาตรการเยียวยาทางด้านต่าง ๆ มาตรการหลักที่ภาคเอกชนให้ความสนใจและต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุด คือแพ็กเกจเงินกู้ ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแบ่งวงเงินเป็น 2 ชุด
ชุด แรก เสนอขอเมื่อปี 2552 หลังเหตุการณ์เดือดช่วงเมษายนปีที่ผ่านมา ครม.อนุมัติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Bank) ปล่อยวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท จนถึงขณะนี้ยังมีเหลืออยู่อีกเกินกว่า 1,600 ล้านบาท โดยปรับเงื่อนไขใหม่ขยายแต่ละส่วนให้เหมาะสมคือ ขยายวงเงินกู้จากเดิมรายละ 5 เป็น 10 ล้านบาท ขยายเวลาปลอดชำระเงินต้นจากเดิม 1 ปี เป็น 2 ปี (พฤษภาคม 2553 เลื่อนไปพฤษภาคม 2554) ขยายเวลาการกู้ยืมสูงสุดจากเดิม 5 ปี เป็น 10 ปี
ส่วน หลักประกันเงินกู้ 5 ล้านบาทแรกใช้เกณฑ์เดิม แต่วงเงินส่วนที่เกิน 5 ล้านบาท ให้ใช้ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง อาคารชุด ห้องชุด เครื่องจักร อุปกรณ์ การโอนสิทธิ์เช่า เป็นหลักประกัน พร้อมกับปรับเปลี่ยนขั้นตอนการยื่นขอเงินกู้จากเดิมต้องผ่านการกลั่นกรองจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมท่องเที่ยวที่เป็นสมาชิก สมาคมโรงแรมไทย เปลี่ยนใหม่เป็นสามารถยื่นกู้โดยตรงกับเอสเอ็มอีแบงก์
ชุด ที่ 2 เสนอขอเพิ่มหลังเหตุการณ์ม็อบและจลาจลย่านราชประสงค์เพื่อขอเงินกู้ใหม่อีก 20,000 ล้านบาท จะเสนอ ครม.พิจารณา 7-8 มิถุนายนนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม 10,000 ล้านบาท กู้ได้รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยเอกชนขอให้ ครม.ยกเว้นการตรวจสอบประวัติทางการเงิน (Credit Bureau) และเอกสารที่เกี่ยวข้อง (Clean Loan) เพื่อกู้จากธนาคารเอสเอ็มอีแบงก์เหมือนเดิม โดยมีเงื่อนไข ระยะเวลากู้ 8 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้น 2 ปี อัตราดอกเบี้ย MLR -3 เป็นเวลา 2 ปี ส่วนต่างดอกเบี้ยให้รัฐบาลอนุมัติเงินอุดหนุนประมาณ 400 ล้านบาท/ปี
กลุ่ม สอง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวขนาดใหญ่กว่าเอสเอ็มอี เช่นธุรกิจการขนส่ง ให้กู้ได้รายละ 50 ล้านบาท ขอความร่วมมือจากแบงก์พาณิชย์ช่วยขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไป 3 ปี ปลอดคืนเงินต้น 6 เดือน
นอกจากนี้มาตรการลดค่าใช้จ่ายให้แก่ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยการยกเว้นภาษีสรรพสามิตปี 2553 ขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมโรงแรม เลิกเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำจากโรงแรม ยกเลิกหรือลดหย่อนเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 1 ปี จัดงบฯ 440 ล้านบาท ทำโครงการฝึกอบรมพนักงานอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
------------------------------------------------------------------------------------------
ไฟเขียวนำรายจ่ายซื้อทัวร์หักภาษีได้1.2หมื่น
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ครม.เศรษฐกิจไฟ เขียวนำรายจ่ายซื้อทัวร์ หักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1.2 หมื่นบาท/คน หวังกระตุ้นคนไทยหันมาเที่ยวในประเทศ อุ้มผู้ประกอบการฝ่าวิกฤต
นายพุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ(ครม.เศรษฐกิจ)วันนี้อนุมัติ มาตรการทางภาษีเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบ การธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง
ในส่วนของมาตรการทางภาษี จะให้ผู้ชำระภาษีเงินได้สามารถนำรายจ่ายจากการซื้อทัวร์มาหักลดหย่อนในการ คำนวณภาษีเงินได้ไม่เกิน 1.2 หมื่นบาท/คน จากเดิมที่กระทรวงการคลังเสนอมาที่ 1.5 หมื่นบาท/คน แต่ไม่ได้ให้นำค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองมาหักค่าลดหย่อน ได้ เนื่องจากเกรงจะมีปัญหาเกี่ยวกับหลักฐานค่าใข้จ่ายที่จะนำมาแสดง
ขณะที่ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม ครม.เศรษฐกิจได้ขยายเวลาในการยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมของธุรกิจ โรงแรมต่อไปจนถึงสิ้นปี 2554
ส่วนมาตรการทางภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม เช่น สนามกอล์ฟ ตลอดจนภาคธุรกิจอื่นๆ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังกลับไปพิจารณาความเหมาะสม เนื่องจากเห็นว่ามาตรการภาษีบางประเภทที่เสนอมาเกี่ยวข้องกับภาษีท้องถิ่น ซึ่งหากมีการพิจารณาไปแล้ว อาจจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างภาษีทั้งระบบได้ จึงให้นำกลับไปทบทวนแล้วนำกลับมาเสนอใหม่
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจจำนวน 360 ล้านบาท สำหรับใช้ส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงมาตรการการกระตุ้นการท่องเที่ยวในต่างประเทศด้วย ซึ่งการที่ ครม.เศรษฐกิจอนุมัติเฉพาะการทำตลาดในประเทศเป็นหลักก่อน
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ได้มีการของบทั้งหมด 1.6 พันล้านบาทเพื่อทำการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับงบประมาณในส่วนที่เหลือ ครม.เศรษฐิกจพิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ในประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว และเมื่อกลับสู่ภาวะปกติ จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเอง
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจยังได้อนุมัติสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผล กระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยให้คงวงเงินช่วยเหลือไว้ตามเดิมที่ 5 พันล้านบาท แต่มีการขยายวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อรายเป็น 5 ล้านบาท จากเดิมที่ให้แค่ 3 ล้านบาท รวมทั้งขยายเวลาการปลอดชำระคืนเงินต้นเป็น 2 ปี จากเดิม 1 ปี และขยายระยะเวลาการกู้ยืมเป็นไม่เกิน 8 ปี จากเดิมไม่เกิน 5 ปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนั้น ถ้ากู้เงินไม่เกิน 1 ล้านบาท จะไม่คิดดอกเบี้ย แต่ถ้ากู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท จะต้องเสียดอกเบี้ย 3% และต้องมีผู้ค้ำประกัน
ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่เป็นร้านค้าราชประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียง ยังคงวงเงินไว้ที่ 5 พันล้านบาทเท่าเดิม จากที่กระทรวงการคลังได้ขอเพิ่มอีก 5 พันล้านบาท รวมเป็น 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก ครม.เศรษฐกิจให้เหตุผลว่า ขณะนี้ยังมีผู้ประกอบการมายื่นขอสินเชื่อต่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม(SME BANK) เพียง 2,314 ล้านบาท ยังมีวงเงินเหลืออยู่อีกมากพอที่ผู้ประกอบการรายอื่นจะเข้ามาขอสินเชื่อ และเมื่อวงเงินใกล้เต็มจำนวนแล้ว ครม.จะมีการพิจารณาเพิ่มเติมวงเงินต่อไป